# บาฮา 7 ปี พาร์ท 2 審判の槍、再来の剣 - หอกแห่งการพิพากษา, การหวนคืนของดาบ

สรุปเนื้อเรื่องอีเวนท์ของบาฮา 7 ปี พาร์ท 2

WARNING

Post นี้ก็อปมาจาก log ใน discord ที่เคยพิมพ์ไว้

โลกิเริ่มแผนการที่จะรวมโลก ส่งผลกระทบให้ผู้คนในเมืองเริ่มรู้สึกปวดหัวจากพลังเวทที่ไหลมาจากมิสทัลเซียจำนวนมาก น้องสาวและตัวเราก็เป็นด้วย ซึ่งระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงไวส์จากด้านนอก ระจะออกไปดูด้วยแต่แจนบอกให้พวกเรานอนพักเฉยๆก่อนเพราะอาการไม่ได้ดี แจนออกไปก็เจอคนโดนไวส์ยึดร่าง กับไวส์โผล่มาเต็มไปหมด เราวิ่งตามออกมาจนเจอแจนซึ่งก็เจอโลกิด้วย โลกิบอกว่าจะอธิบายให้ก็ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เดี๋ยวก็รู้เรื่องเองเพราะกำลังจะถึงเวลาที่สิ่งนั้นจะลืมตาตื่นแล้ว และก็ไม่มีอะไรจะหยุดการพังทลายของเขตแดนได้ มิสทัลเซียจะไหลมาโลกฝั่งนี้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องของเวลา

โอดีนยึดร่างแจนแล้วสวนกลับโลกิ ต่อด้วยการปาหอกสามอันมาปักไว้ 3 จุดในอิเคบุคุโร่ เพื่อเป็นการหยุดการพังทลายของเขตแดนของทั้งสองโลก ทำให้การรวมกันของสองโลกหยุดพักลง โลกิจะรวมสองโลกกันแล้วให้การกลืนกินนั้นทำลายโลกทั้งสอง

โลกิหนีไปไม่ยอมปล่อยให้โอดีนจับได้ โอดีนหันมาคุยกับเราว่าในสถานการณ์แบบนี้แล้ว ตัวเลือกที่ตัวเองเหลืออยู่ก็มีแค่อย่างเดียว คือทำลายโลกใบนี้ทิ้ง เพื่อไม่ให้การรวมตัวกันและ”การกลืนกิน”ไหลไปยังมิสทัลเซียเกิดขึ้น

ลูซิบินลงมาหาเราพอดี แล้วก็บอกว่าตามคาด โอดีนก็บอกว่าเห็นผ่านแจนแล้วว่าถึงจะเป็นคนดี แต่ถ้าลูซิจะขวางก็จะไม่เว้นหน้าเหมือนกัน ลูซิบอกเราว่าหอกทั้ง 3 ทีปาลงมานั้นนอกจากจะหยุดการพังทลายแล้ว ยังเป็นเหมือนจุดชี้นำให้พลังเทพนั้นไหลผ่านมาเพื่อทำลายโลกนี้ทิ้ง ลูซิบอกว่าถึงโอดีนเป็นเทพของมิสทัลเซีย แต่ก็ไม่ได้เป็นเทพของโลกใบนี้ จึงไม่มีสิทธ์จะมาตัดสินอะไรโลกนี้ได้

โอดีนเล่าต่อว่าจากฝีมือโลกินั้นทำให้เขตแดนสองโลกนั้นพังทลายจนโลกรวมกัน แต่ว่านี่เป็นเพียงแค่ผลข้างเคียงของการลืมตาตื่นของสิ่งนั้นเท่านั้น ซึ่งหากมันตื่นขึ้นมาโดยสมบูรณ์แล้ว มันจะไม่ได้จบแค่รวมกัน แต่โลกทั้งสองจะโดนทำลายไม่เหลือ ดังนั้นหากทำลายโลกนี้ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของการกลืนกินทิ้ง ก็จะสามารถหยุดเหตุนี้ได้ ซึ่งเราก็พอเข้าใจในเรื่องที่พูด แต่ก็รู้สึกไม่เห็นด้วย โอดีนเห็นว่าเราจะต่อต้าน ก็เลยบอกว่างั้นก็ลองดู และตนจะรอดูเรา พร้อมบอกว่าหากคิดว่าสามารถหาทางอื่นได้ก็จงแสดงพลังด้วยการทำลายหอกทั้งสามนั้นดูซะ ลูซิเห็นดังนั้นก็ยื่นมือมาช่วยเรา


จากนั้นเราก็มุ่งไปหาหอกแรก ซึ่งก็ได้พบกับฟูนิกัล เราสองคนก็เข้าสู้กับฟูนิกัลที่มาขวาง ฟูนิกัลถามเราว่าเราทำไปเพื่ออะไร เราก็ตอบไปว่าเพื่อปกป้องครอบครัว ระหว่างที่สู้กันนั้นลูซิพลาดท่า แต่เรากระโดดเข้าไปช่วยรับแทน ทำให้ฟูนิกัลประหลาดใจว่าทำไมเราที่เป็นคนธรรมดาไม่ได้เป็นทั้งนักรบหรือมีพลังอะไร ถึงกล้าจะเอาตัวเองมาโดยไม่กลัวตายแบบนั้น แต่เราก็ตอบกลับว่าเราไม่ได้จะตายคนเดียว ทันใดนั้นฟูนิกัลก็ตกใจถึงพลังที่รู้สึกได้จากเรา

ลูซิยื่นจับเราขึ้นมา และพลังเวทก็โดนแบ่งมาสู่เรา เมื่อพลังจากลูซิไหลมาก็เกิดแสงสว่างขึ้นห่อหุ้มเรากับฟูนิกัล ซึ่งเราก็ได้ยินคำพูดของฟูนิกัลที่เคยพูดกับคิชิ ฟูนิกัลก็นึกถึงคิชิที่คอยแกว่งดาบเพื่อพวกพ้อง ซึ่งดาบนั้นก็เปี่ยมไปด้วยสายสัมพันธ์

หลังดาบของเรากระแทกฟูนิกัล ตัวหอกของโอดีนข้างหลังก็เริ่มเปราะแตก และพังทลายลง ลูซิบอกเหมือนตัวหอกของโอดีนนั้นจะเชื่อมกับพลังเวทของสามเทพสงครามทั้งสามอยู่ ลูซิกล่าวอีกว่าตอนที่แสงส่องสว่งนั้น เหมือนกับจิตของเรานั้นได้หลุดลอยไปที่ไหนซักแห่ง


พวกเราไปต่อจุดที่สอง เจอกับยวันฮาล ซึ่งยวันฮาลก็บอกว่าหอกนี้เป็นตัวจุดชี้นำพลังของโอดีนด้วย เพราะระดับโอดีนหากข้ามมาฝั่งนี้เองแล้ว เขตแดนของโลกจะยิ่งพังทลายเร็วขึ้นไปอีก หากไม่ใช่ว่าเสียพลังส่วนมากไปแบบลูซิแล้ว ก็ข้ามมาโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ โอดีนเลยส่งแจนกับแก๊งค์กริมนีล 3 คนมา ให้แจนพาคนจากฝั่งนั้นที่ไหลมากลับ และสามคนปักจุดเพื่อให้โอดีนส่งพลังมาทำลายล้างในกรณีที่หยุดโลกิไว้ได้ไม่ทัน แล้วยวันฮาลก็ขอโทษเราที่หยุดโลกิไว้ไม่ได้

หลังจากที่สู้กัน ยวันฮาลก็เราดูแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้ามาก อาจจะมาจากเพราะมิสทัลเซียเข้ามาอยู่ใกล้ แล้วก็บอกว่าในดวงตาเรานั้นยังมีความกลัวอยู่ ถึงไม่รู้ว่าจะกลัวอะไร ก่อนที่จะใช้พลังจากตาเทพดึงเราเข้ามาในโลกของจิตกันสองคนเพื่อจะทดสอบเรา ซึ่งก่อนที่ลูซิจะเจาะเข้ามาได้ก็จะขอรีบจัดสิ่งที่อยากทำก่อน

ยวันฮาลบอกว่า ถึงแม้จะพยายามช่วยใคร ก็ไม่ได้หมายคึวามว่าทุกอย่างจะถูกช่วยเหลือได้ การที่เติมเต็มบางอย่างได้ก็จะทำให้บางอย่างนั้นสูญสิ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ซึ่งถามว่าฝั่งไหนนั้นถูกต้องนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินได้ง่ายๆ แต่ที่แน่ๆสิ่งที่จะทำให้เรื่องเหล่านั้น “ถูกต้องได้” นั้นก็คือพลัง ซึ่งโอดีนนั้นก็เลือกที่จะช่วยมิสทัลเซียแล้วตัดโลกฝั่งเราทิ้งไป

จากนั้นยวันฮาลถามเราว่าที่เราอยากได้นั้นคืออะไร พลังที่สามารถชนะข้อเสนอของผู้อื่นได้อย่างล้นหลามหรือสิ่งอื่น เราตอบว่าเราไม่ต้องการพลังใดทั้งนั้น และต้องการสิ่งที่สามารถช่วยเหลือทุกสิ่งได้ ยวันฮาลบอกว่าเรื่องที่เราต้องการนั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก และอาจพลาดพลั้งจนสูญเสียทุกอย่างไปแทนได้ ก่อนที่จะยอมรับเรา แต่ก็บอกว่าถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมทิ้งตัวเลือกฝั่งตน และเข้าสู้กับเรา

เราพลาดท่ากับการสู้กับยวันฮาล แต่ระหว่างนั้นเองตัวพื้นที่เกิดการสั่นขึ้น ซึ่งเกิดจากการบุกเข้ามาของลูซิ ยวันฮาลบอกว่าลูซิที่เสียพลังไปขนาดนี้ การทลายเขตแดนของตนเข้ามาขนาดนี้นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ซึ่งตัวลูซิไม่น่าจะจบไปอย่างปลอดภัยได้แน่ ซึ่งสิ่งนั้นทำให้เราตั้งจิตได้เพื่อที่จะปกป้องลูซิ และเข้าปะทะกับยวันฮาลอีกครั้ง ซึ่งเราก็ชนะแต่แล้วก็มีแสงห่อหุ้มเราอีก ซึ่งหนนี้ก็ได้ยินเสียงของยวันฮาลที่เคยพูดกับคิชิ ก่อนที่จะรู้สึกตัวกลับมาในโลกจริง


จากนั้นเราก็ไปจุดสุดท้าย เข้าปะทะกับกริมนีล กริมนีลถามลูซิว่าทำไมถึงไปช่วยเรา ลูซิบอกว่าโลกนั้นมันจะมีเหตุผลได้เพราะผู้คน จากคนในโลกนั้น ตนได้พบกับแสงสว่างที่เคยช่วยตนเองจากความสิ้นหวังขึ้นมา ซึ่งหากมีคนที่เหมือนดังแสงสว่างนั้นอยู่นั้น ก็มีค่าควรจะปกป้องแม้จะต้องเดิมพันกับสิ่งใดก็ตาม กริมนีลก็เข้าใจแต่ว่าตัวเองก็มีเหตุผลที่ถอยไม่ได้เช่นกัน

กริมนีลกัลลูซิปะทะกัน หอกของกริมนีลแทงทะลุเข้าปีกของลูซิซึ่งทำให้ลูซิร่วงลงไป เราพยายามจะวิ่งไปช่วยแต่ก็โดนลมกริมนีลหยุดไว้ กริมนีลบอกว่าไม่มีเวลาแล้ว อีกไม่นานหอกของโอดีนจะส่งมาถึงจุดเหล่านี้แล้ว เราจึงเข้าไป 1-1 กับกริมนีล

กริมนีลระหว่างที่สู้กับเรา ก็คอยถามเราตลอด ว่าพลังของเรานั้นมีแค่นั้นหรอ ซึ่งจริงๆมันไม่มีทางเป็นไปได้และเรานั้นก็รู้ตัวอยู่ดีใช่ไหม + คอยถามว่าเรานั้นกลัวอะไร ทำไมถึงได้สั่นไหว ทำไมถึงไม่ยอมเผชิญหน้ากับพลังนั้นทั้งๆที่ปลายดาบที่หลับไหลอยู่ข้างในนั้น มีพลังที่จะช่วยเหลือโลกได้แท้ๆ ก่อนที่กริมนีลจะเตือนเราอีกครั้งว่า อย่าได้กลัวแล้วจงลืมตาตื่นซะ


ดำดิ่งลงไปในใต้จิตสำนึกเรา เรารู้สึกได้ถึงอะไรซักอย่างที่เป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่กำลังมองมาทางเราอยู่ และกำลังค่อยๆคลืบคลานเข้ามา ตัวเรารู้สึกหวาดกลัว รู้สึกได้ว่าจะถูกกลืนกิน และได้แต่สั่นกลัวและรอเวลาที่จะถูกกลืนกิน แต่ทว่าเมื่อได้สัมผัสก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น และเมื่อเงยหน้าขึ้น สิ่งที่อยู่ตรงนั้นนั้นห่างไกลจากความหวาดกลัว แต่เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่น

— ไปด้วยกันเถิด เพื่อไปช่วยเหลือทุกสิ่งอย่าง บุคคลผู้อยู่เบื้องหน้านั้นได้กล่าวขึ้น

เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าสิ่งนั้นไม่ใช่อะไรที่ต้องหวาดกลัว เมื่อยื่นมือเข้าไปและท้อนซับกันก็รู้สึกเหมือนดั่งหลอมรวมกัน และรู้สึกคุ้นเคยจนน่าแปลกใจ เพราะตั้งแต่เริ่มแรกนั้นทั้งสองนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน


ดาบของเราผ่ากระแทกกริมนีล กริมนีลประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อยเพราะมันต่างกับที่แล้วๆมา ก่อนแสดงความดีใจออกมา ที่เรานั้นได้ลืมตาตื่นแล้ว และบอกว่ารอคอยเราอยู่ (ตัววิญญาณของคิชิกับของเรานั้นได้สั่นพ้องกันและรวมตัวกันเป็นหนึ่ง) ก่อนที่กริมนีลจะปลดปล่อยพลังของตัวเองเพื่อจะทดสอบเรา

กริมนีลสู้เราไม่ได้ จึงปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา ก่อนจะบอกกับเราว่าตัวเองนั้นเชื่อในตัวเราอยู่ ว่าเรานั้นจะสามารถก้าวข้ามทุกสิ่งทุกอย่างได้ ดาบของเรานั้นตัดผ่ากริมนีล กริมนีลก็ว่าสมแล้วที่เป็นคิชิ ก่อนที่หอกนั้นจะสลายไป


หลังหอกทั้งสามสลายไป โอดีนที่ยึดร่างแจนก็โผล่มา โอดีนบอกว่าวิญญาณของเรากับคิชินั้นแทบจะเรียกว่าเป็นสิ่งเดียวกันได้ หรือพูดอีกอย่างคือเป็นตัวตนเดียวกันในต่างโลก โอดีนเรียกกุงนีร์มาส่วนนึง พร้อมบอกว่าหากปักลงไปในแกนกลาง ตัวชี้ทางก็จะสมบูรณ์ แต่เรานั้นไม่ยอม และเข้าปะทะกับโอดีนในร่างแจน

เราชะงักที่จะลงดาบใส่โอดีนในร่างแจน โอดีนจึงปัดและป้องกันได้ โอดีนชมเราที่สามารถโจมตีตนเองได้ทั้งๆที่ยังไม่คุ้นชินกับพลังของคิชิ โอดีนกำลังจะใช้ท่าเพื่อจัดการเรา แต่แล้วแจนก็พยายามขวางแต่ก็ยึดร่างคืนไม่ได้ ลูซิโผล่มาช่วยให้แจนสามารถได้ร่างคืนมาชั่วคราวได้ แจนขอโทษโอดีนเพราะว่าตนได้สัมผัสกับผู้คนของโลกนี้ และรู้สึกอยากจะปกป้องโลกนี้ไว้ด้วย และให้เราจัดการ ดาบของเราผ่าตัดแจน แต่สิ่งที่ตัดนั้นตัดไปเพียงตัวพลังเทพที่ห่อหุ้มร่าง โอดีนที่พลังค่อยๆอ่อนลงเห็นดาบที่ตัดผ่าโดยไม่ทำร้ายใครและจะช่วยเหลือทุกสิ่งของเราแล้วก็ยอมรับเรา แล้วก็บอกว่าให้ลองทำดูถ้าคิดว่าสามารถช่วยเหลือสองโลกไ้ด้


หลังจัดการเสร็จ พวกเราก็รู้สึกได้ถึงไวส์ที่ผิดปกติ ไวส์แกร่งกว่าปกติ โลกิโผล่มาบอกว่าอีกนิดแผนตนจะสำเร็จ โลกิบอกว่าถึงแม้จะเป็นแสงสว่างกำเงามืดของมิสทัลเซีย(คิชิกับลูซิ)ที่เคยช่วยโลกมาหลายหน แต่หนนี้นั้นแตกต่างไป เพราะในโลกนี้พวกเราไม่สามารถใช้พลังได้เต็มที่ได้ พวกเราเข้าสู้กับโลกิแต่ก็สู้ไม่ได้ (เพราะหลังจากสู้รัวๆกับพวกกริมนีลโอดีนต่อกันมาด้วย)

โลกิบอกว่าเวลานั้นหมดแล้ว ข้างบนท้องฟ้าโตเกียวนั้น เหมือนมีรูจากกำแพงที่มองไม่เห็น และพลังเวทที่น่าสยดสยองนั้นไหลผ่านมา โลกิบอกว่านั่นคือ “การกลืนกิน” ที่จะกลืนกินโลกซึ่งแม้แต่โอดีนนั้นก็ยังกลัว - สิ่งนั้นลอยลงมาและรวมตัวเป็นรูปมังกร ก่อนจะส่งพลังเวทออกมาทำลายล้างจุดต่างๆ ก่อนที่ตัวมิติจะบิดเบี้ยว และมังกรนั้นได้หายไปยังด้านลึกของเขตแดน โลกิเล่าต่อว่าสิ่งนั้นคือพลังส่วนหนึ่งของบาฮามุทที่บังเอิญไหลมายังโลกใบนี้ มารวมกับแก่นแท้แล้วกำเนิดเป็นมหันตภัย ซึ่งเป็นตัวตนที่คอยกลืนกินทุกสิ่ง แสดงในรูปร่างของมังกรที่มีพลังในการทำลายล้างและสรรสร้าง - Eclispe Bahamut

ไวส์นั้นเป็นสิ่งที่เกิดจากอิคลิปส์บาฮา โดยบุกรุกโลกด้วยการตาม “ความต้องการ” ขอสิ่งมีชิวิตมา โลกิบอกว่าตนเกลียดความน่าเบื่อ โดยเฉพาะสิ่งที่กำหนดไว้แล้วและชะตากรรมทั้งหลาย เลยจัดพวกนี้ เพื่อจะได้ดูปลายทางของโลกนี้ว่าจะทำยังไงกับชะตากรรมที่ดูสิ้นหวังเช่นนี้

โลกิว่าอีกว่าการลืมตาตื่นของ Eclipse Bahamut นั้นยังไม่สมบูรณ์เพราะผลกระทบจากหอกของโอดีน ระหว่างนั้นพวกกริมนีลสามคนก็เข้ามาโจมตีโลกิ แต่โลกิหลบได้ โลกิเรียกพวกไวส์ให้เข้าไปรวมกับตัวแม่ แต่พวกกริมนีลก็ไม่ยอม


ที่อีกมุมหนึ่ง SP ตกใจกับแสงสว่างบนท้องฟ้า มิคาโดบอกว่าทุกสิ่งนั้นพร้อมแล้ว ก่อนที่จะว่าได้เวลาไปแล้ว SP ตกใจว่าจะเข้าไปในใจกลางที่มีแต่สับประหลาดหรอ มิคาโดบอกว่าไม่ได้หวังว่าจะมาด้วยแต่แรกอยู่แล้ว จะทำอะไรก็ไป

SP เรียกมิคาโดให้หยุด ก่อนจะบ่นว่าถ้าเกิดตรงนี้ไม่ยอมทำตามละก็ สิ่งที่เหนื่อยมาจนถึงตอนนี้จะสูญเปล่า และว่าไม่ว่ายังไงก็จะต้องชิงพลังของมังกรนั้นมาเป็นของพวกตนให้ได้ ส่วนมิคาโดก็ว่าจะไปหา “ผู้กอบกู้” ที่โลกิพูดถึง ผู้เป็นคนคอยจะหยุดยั้งแผนของตน


พวกกริมนีลพ่ายแพ้ให้กับโลกิ แจนกำลังคิดจะหาทางถอย แต่โลกิก็บอกว่าเป็นความคิดที่ดี แต่พวกนี้(ไวส์)จะยอมงั้นหรอ พวกเราสู้กับฝูงไวส์อย่างยากลำบาก ทันใดนั้นเอง น้องสาวที่ออกตามหาเราก็บังเอิญมาเจอเราพอดี แจนตกใจที่สองคนนี้มาอยู่ที่นี่จนพลาดท่ากำลังจะโดนไวส์จัดการ แต่แล้วน้องสาวก็ใช้พลังออกมาโดยไม่รู้ตัวยิงจัดการไวส์สลายหายไป

โลกิก็ประหลาดใจแล้วบอกว่าน้องสาวเรานั้นเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย แล้วแว้บไปจับตัวน้องสาวทั้งสองของเราไว้ด้วยความสนใจ และบอกว่าพลังที่ใช้ออกมานั้นคล้ายกับของสิ่งที่ Eclipse Bahamut ปล่อยออกมา โลกิกล่าวต่อว่าถึงไม่รู้ว่าจะเกิดมายังไง แต่ที่แน่ๆคงเป็นผลลัพทธ์ของจากความใฝ่ฝันของมนุษย์ที่มีต้นมาจาก eclipse bahamut แน่นอน

แล้วโลกิก็พูดต่อ ว่าทุกอย่างนั้นล้วนมาจากความใฝ่ฝันของมนุษย์ หากมีคนอย่างเราที่ต้องการจะช่วยโลกอย่างสุดใจแล้วละก็ มันก็มีคนที่ต้องการจะทำลายล้างในระดับเดียวกันหรือมากกว่า ซึ่งมากกว่าอย่างล้นหลาม จนเรียกมังกรแห่งการกลืนกินให้ตื่นขึ้นมา ต้นตอแห่งความพินาศอันเป็นความคิดของเขาคนนั้น

หลังโลกิพูดจบ ก็มีเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งขึ้นมา ว่าถึงแม้จะบอกว่าจะได้เจอกันอีกแน่ๆ แต่ก็ไม่อยากจะต้องมาพบกันอีกในรูปแบบเช่นนี้ -- มิคาโดกระโดดลงมาก่อนและถีบก้อนหินซึ่งทำให้พวกเรากระเด็นไป


มิคาโดถามโลกิว่าพวกเรานั้นใช่จริงๆหรอ โลกิก็ยืนยันว่าเรานี่แหละเป็นตัวตนเดียวกับวีรชนแห่งมิสทัลเซีย<<อัศวินผู้กอบกู้>> ซึ่งเป็นตัวตนในอีกโลกหนึ่ง และตอนนี้พลังส่วนหนึ่งกำลังลืมตาตื่น ซึ่งหรือพูดง่ายๆก็คือเป็นสิ่งที่จะมาขัดขวางพวกตนนั่นเอง

มิคาโดเลยสบถว่าเป็นการพบเจอที่เลวร้ายที่สุดจริงๆ ถึงแม้จะไม่ใช่แต่แรกก็เถอะ ก่อนจะบอกกับเราว่าดูเหมือนว่าเราสองคนจะไปกันด้วยไม่ได้ เพราะงั้นคงช่วยไม่ได้ที่จะต้องขอจัดการกับเรา เราเข้าปะทะกับมิคาโด เราใช้ดาบรับการโจมตีมิคาโดแต่จากคลื่นที่ปล่อยออกมาจากการโจมตีนั้นทำให้เราสั่นไปทั้งตัว มิคาโดบอกว่าเรารู้สึกตัวแล้วสินะ ว่าพลังที่ตนใช้นั้นเป็นพลังของไวส์ พร้อมบอกว่าเหมือนว่าตนจะเข้ากันได้ด้วยดีกับพวกนี้ โดยที่ไม่โดนยึดสติไปแต่สามารถนำพลังมาใช้ได้อย่างเต็มที่ -- เช่นเป็นต้น

หลังสิ้นถ้อยคำ มิคาโดก็ถีบเข้าบริเวณท้องของเรา เราที่สู้ต่อเนื่องมาจนพลังจะหมดก็ไม่สามารถต่อต้านได้และกระเด็นล้มลงไป สติของเราค่อยๆเลือนลางลง เราพยายามเอื้อมมือออกไป เพื่อที่จะนำอาสึกะและชิโอริ ครอบครัวของเรากลับคืนมา


มิคาโดพูดกับเราว่าถึงแม้ว่าเรื่องที่ต้องสู้กับเราเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่เรื่องที่แย่งชิงครอบครัวกับที่อยู่ของเราไปนั้นต้องขอโทษด้วย ก่อนที่จะเงื้อเท้าเพื่อจัดการเราลง แต่ทันใดนั้นก็มีแสงสีมืดพุ่งออกมา มิคาโดถอยออกมาและเห็นว่าลูซิเฟลมาขวางไว้ มิคาโดเห็นแล้วก็รู้ทันทีเลยว่ารายนี้ยาไบ้มาก และโลกิก็เตือนว่าอย่าไปยุ่งเลยถึงแม้จะไม่ได้มีพลังสมบูรณ์ แต่ถ้าสู้ตรงๆนี้แม้แต่มิคาโดเองก็ไม่รอดง่ายๆแน่ บวกกับไม่มีความจำเป็นตรงล้มในตอนนี้

ทันใดนั้นพวกเราก็รู้สึกได้ถึงกลุ่มพลังเวทมหาศาลพุ่งผ่านมาเหมือนดังฟ้าดินได้แปรผันกลับ ตัวเขตแดนกำลังพังทลายลง พวกโลกิถอยไปพร้อมเสียงหัวเราะ ซึ่งค่อยๆเบาบางลงไปผ่านหูของเรา และสติของเราก็ค่อยๆจมดิ่งลงลึกไปในความมืดมิด โดยที่ไม่สามารถนำพาสิ่งสำคัญใดกลับคืนมาได้


# ผังตัวละคร part 2

ตบมาจากอฟช

chara