# あなたを捧げる最後の願い - ความหวังสุดท้ายที่มอบให้เธอ

บาฮา 7 ปีพาร์ท 3 (พาร์ทจบ)

WARNING

Post นี้ก็อปมาจาก log ใน discord ที่เคยพิมพ์ไว้

# บทนำ

เราลืมตาตื่นขึ้นมาโดยมีแจนอยู่ข้างๆ เมื่อเรามองไปรอบๆก็พบว่าตัวเมืองนั้นโดนปกคลุมไปด้วยพืชสีเขียวไปหมด แจนบอกเราว่าตัวเองก็หมดสติไปเช่นกันตอนที่เขตแดนพังทลาย ซึ่งพอตัวเองรู้สึกตัวก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว (ส่วนคนอื่นกระจัดกระจายคลาดไป) ตอนนี้โลกไม่ใช่มีเพียงแค่พลังเวทที่ไหลมา แต่หน้าตาเองก็กลืนรวมกันกับมิสทัลเซียด้วย

เรามองไปข้างหลังแจนแล้วเห็นสิ่งแปลกประหลาดโผล่ขึ้นมาอีกอย่าง เป็นหอที่สูงระฟ้า แจนบอกว่าตัวเองก็ไม่รู้ว่าหอนั้นมันคืออะไร แต่น่าจะโผล่มาหลังเหตุนั้น โลกิที่พาอาสึกะกับชิโอริไปก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน หรืออาจจะไปที่หอนั่นก็ได้

พอได้ยินชื่อน้องสาว เราก็ทริกเกอร์จนพยายามรีบลุกมา แต่การขยับกระทันหันทำให้เราเจ็บแผล ระหว่างนั้นเองก็มีมอนโผล่มา แจนตกใจว่ามอนจากมิสทัลเซียเองก็ไหลมาฝั่งนี้เหมือนกัน แล้วเข้าสู้แต่ก็สู้อย่างลำบาก กระทั่งเราใช้ดาบจัดการมอนเหล่านั้น แจนเลยนึกขึ้นได้ว่าเราตอนนี้ได้รวมพลังของคิชิเข้าไปแล้ว แต่ยังเหลือมอนอีกตัวที่เราพลาดมองไม่เห็น แต่ยวันฮาลก็โผล่มาช่วยจัดการ ยวันฮาลบอกว่ากริมนีลบอกให้ตนตามหาเรา พร้อมอธิบายว่าหอนั้นมีพลังเช่นเดียวกับอิคลิปส์บาฮา ที่เป็นต้นตอของการกลืนกินโลก แล้วก็จับพลังเวทของโลกิได้จากบนสุดของหอนั้น ตอนนี้พวกตนก็กำลังไล่จัดการมอน + มุ่งหน้าไปสู่หอนั้นเพื่อหยุดโลกิ และก็มาขอความร่วมมือจากเราและแจนให้ช่วยด้วย

# อิเคะบุคุโระ

อิเคบุคุโร่ถูกปกคลุมไปด้วยพืชสีเขียว ระหว่างที่พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปที่หอระฟ้าก็มีพวกมอนโผล่มาขวางทาง แจนรู้สึกได้ว่าพลังค่อยๆกลับคืนมา เพราะจากมิสทัลเซียที่ไหลมารวมที่นี่ ระหว่างนั้นเราก็ได้ยินเสียงคนที่กำลังถูกมอนโจมตี

หลังช่วยคนเสร็จ ชายคนนั้นก็บ่นว่าทุกอย่างมันเป็นบ้าไปหมดหลังจากหอกนั่นตกลงมา ซึ่งทำให้จิตใจของยวันฮาลสั่นคลอนจากความรู้สึกผิด ที่ถึงแม้เป็นหน้าที่แต่พวกตนก็เคยจะทำลายโลกนี้ทิ้ง ยวันฮาลบอกว่าไม่ต้องเห็นใจก็ได้พวกสำหรับคนที่อยู่ทางนี้แล้ว เรื่องที่พวกตนทำเป็นเรื่องที่อภัยให้ไม่ได้จริงๆ

พวกเราก็พยายามมุ่งหน้าไปสู่ใจกลาง ซึ่งระหว่างทางนั้นก็มีทั้งไวส์และมอนโผล่มาไม่หยุด แจนสงสัยว่าเป็นเพราะอิคลิปส์บาฮามุทที่ลืมตาตื่นมารึเปล่า ระหว่างนั้นเองทั้งสามก็รู้สึกได้ถึงการขยับเคลื่อนของมานานปริมาณมาก ซึ่งทำให้พวกเรารู้สึกกังวล และสังหรณ์ใจว่าอะไรซักอย่างกำลังจะเกิดขึ้น


ชั้นบนสุดของหอคอย โลกิคุยกับมิคาโดว่าใกล้จะถึงจุดหมายแต่ทำไมถึงทำหน้าไม่สบายใจแบบนั้น มิคาโดถามโลกิว่าพาเด็กสองคนมาทำไม โลกิตอบว่าเพราะน่าสนใจ แม้ไม่ได้โดนไวส์สิง แต่ก็สามารถใช้พลังแบบไวส์ได้ แล้วโลกิก็ปล่อยเด็กสองคนตกลงพื้นซึ่งทำให้มิคาโดไม่พอใจ โลกิก็เลยบอกว่าตัวเองไม่ได้จะทำร้ายอะไร แค่จะดึงพลังที่ซ่อนอยู่ออกมา ซึ่งเมื่อพูดจบ ก้อนกลมๆสีขาวก็ลอยขึ้นมาจากบริเวณหน้าอกของอาสึกะและชิโอริ 4 รวม 4 ชิ้น

ก้อนที่ดึงออกมานั้น เป็นพลังส่วนหนึ่งของทั้งคู่ที่ดึงออกมา ซึ่งมีพลังอันเหลือล้น แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ ซึ่งเกิดความคาดหมายของโลกิมาก โลกิบอกมิคาโดว่าตัวพลังนี้ใกล้เคียงกับอิคลิปส์บาฮามุทมาก แต่ก็พูดได้ไม่เต็มคำว่าเป็นสิ่งเดียวกัน

โลกิบอกมิคาโดลองเอา”ความต้องการ”ของตนใส่ลงไปดู เพราะพลังนี้มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับอิคลิปส์บาฮามุท ซึ่งจะสามารถกลืนความต้องการของคนแล้วตอบรับออกมาเป็นรูปร่างได้ แต่เด็กสองคนนั้นขาวสะอาดเกินไปที่จะคาดคิกสิ่งอันตรายออกมาได้ แต่หากได้ความต้องการของมิคาโดละก็ต้องออกมาสิ่งที่จะทำลายล้างแน่นอน

มิคาโดเลยถามโลกิว่า พูดง่ายๆคือจะให้ตนเอาพลังของสองคนนั้นมาใช้ในทางชั่วร้ายแบบนี้ กับตัวตนที่ไม่รู้ว่าคืออะไรแบบนี้คิดว่าจะรับกันง่ายๆงั้นหรอ แต่โลกิก็ตอบทันทีว่ากับคนที่ต้องการจะล้างแค้นโดยไม่สนวิธีการแบบมิคาโดแล้วทำไมจะไม่รับไว้

มิคาโดรับลูกขาวๆนั้นมา เมื่อมันได้กลืนกินความต้องการของตนไป ทันใดนั้นสีขาวบริสุทธิ์ของก้อนเหล่านั้นก็ย้อมเปลี่ยนเป็นสีดำมืดมิด และแปรผันกำเนิดออกมาสับประหลาด “虚蝕の使徒 - ผู้รับใช้แห่งการกลืนกิน” 3 ตน แล้วมิคาโดก็สั่งให้ทั้งสาม​ โดยบอกว่าจะคิดยังไงก็ตัวเองก็ช่าง เพราะยังไงความต้องการของต้นนั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลง แล้วให้ไปทำตามหน้าที่ตนเอง กลืนกินโลกซะ

โลกิมองไปที่อีกหนึ่งลูกที่มิคาโดเหลือไว้ มิคาโดสัมผัสลูกนั้นก่อน่ที่มันจะถูกกลืนหายเข้าไปในตัวของมิคาโด โลกิบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่แนะนำเท่าไหร่ เพราะไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าร่างกายจะรับมันได้ มิคาโดบอกไม่ต้องใส่ใจหรอก เก็บเผื่อไว้ก่อน โลกิเลยบอกว่างั้นก็ตามสะดวก เพราะยังไงตัวเอกของเวทีนี้คือมิคาโด จะปล่อยให้ทำอะไรตามใจชอบ ก่อนที่โลกิจะหลีกตัวออกไป โดยบอกว่ามีเรื่องต้องตามไปเก็บนิดหน่อย


เราสามคนเห็นแสงพุ่งออกมาจากชั้นบนของหอ 3 เส้น และหนึ่งในนั้นก็ได้ตกลงมาที่ตรงหน้า ซึ่งคืออิโดะ ผู้รับใช้ฯที่ควบคุมความกลัว ยวันฮาลใช้พลังของตาตัวเองเพื่อตรวจสอบ ก่อนพบว่าการพังทลายของเขตแดนนั้นไวขึ้นอีก โดยเป็นพลังจากผู้รับใช้ฯ ซึ่งดึงความกลัวออกมา นอกจากนี้ตัวผู้รับใช้ฯนั้นก็มีพลังมากระดับที่ไวส์เทียบไม่ได้ ทั้งตัวตนและพลังนั้นใกล้เคียงกับอิคลิปส์บาฮามุท ผู้คนรอบๆก็ต่างหวาดกลัว

พวกเราเข้าสู้กับอิโดะ แต่ก็สู้ไม่ได้ ตัวบาดแผลที่สร้างได้ก็ค่อยๆโดนรักษาจากการที่มันดูดพลังจากความกลัวของผู้คนมา ยวันฮาลโจมตีใส่อิโดะ แต่ตัวเองกลับเกิดแผลขึ้นมาเอง อิโดะนั้นสามารถควบคุมความเจ็บปวดได้ เนื่องจากความเจ็บปวดนั้นก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เกิดความกลัว

ระหว่างที่พวกเรากำลังตกที่นั่งลำบาก ลูซิเฟลก็โผล่มาช่วยปลดผู้คนออกจากผลกระทบของอิโดะ พร้อมบอกว่าหากสามารถรีเจนได้ไม่รู้จบและสะท้อนความเจ็บปวดออกมาได้นั้น ก็ต้องทำให้สลายไปในพริบตาเดียวโดยไร้ซึ่งความเจ็บปวด ยวันฮาลบอกว่าสามารถตรวจจับพลังเวทของกริมนีลกับฟูนิกัลใกล้ๆได้ และแนะนำให้ไปรวมตัวก่อน พวกเราเลยจะไปรวมตัวก่อน โดยมีลูซิคอยถ่วงเวลาให้


กริมนีลกับฟุนิกัลที่กำลังจัดการพวกมอนอยู่ เหลือไปเห็นพ่อลูกคู่นึงที่หนีไม่ทัน กรินนีลเข้าไปช่วยลูกสาวส่วนฟูนิกัลไปช่วยพ่อ แต่แล้วพ่อก็โดนไวส์เข้าสิง บวกกับความกลัวและความแค้นต่อเทพ ตอนนั้นฟุนิกัลก็ดันหลุดโหมดเทพพอดี กริมนีลเห็นท่าไม่ดีเลยรีบพุ่งไปขวาง ทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บ พวกเราตามมาเจอพอดีเลยเข้าช่วย แต่จำนวนศัตรูมีมากเกินไป จากไวส์โจมตีทำให้เรากระเด็นแล้วหมดสติไป เราลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับกริมนีลและเด็กคนเมื่อครู่ กริมนีลบอกว่าคนอื่นกระจัดกระจายกันไปหมด ส่วนเราก็เล่าเรื่องผู้รับใช้ฯให้กับกริมนีล พวกเรามองไปแล้วก็เห็นคนที่โดนไวส์สิงปนอยู่กับพวกมอน พวกเรากับกริมนีลจึงไปจัดการ

ระหว่างที่เรากับกริมนีลจัดการพวกไวส์และมอน เด็กสาวก็ตื่นขึ้นมาซึ่งคนที่โดนไวส์สิงกำลังพุ่งไป กริมนีลเห็นเลยรีบเข้าไปช่วยและได้รับบาดเจ็บแทน เด็กสาวเห็นกรีมนีลก็จำได้ว่าเป็นคนไม่ดีที่แจกทิชชู่ที่สถานี แล้วก็บอกว่าพอไปบอกพ่อว่าเจอฟุชินฉะแจกทิชชู่ พ่อก็บอกว่าพูดแบบนั้นมันเสียมารยาทให้ไปขอโทษ ก็เลยตามหากริมนีลเพื่อจะขอโทษ แล้วเด็กก็บอกว่าต้องขอโทษแต่พ่อก็แปลกๆไปพร้อมถามว่าควรจะทำยังไงดี

กริมนีลก็รู้สึกผิดแล้วขอโทษที่ปกป้องไว้ไม่ได้ ช่วยไว้ไม่ได้ เด็กก็งงว่าขอโทษทำไมแล้วก็เห็นบาดแผลกริมนีล เลยบอกให้กริมนีลรอก่อน ตัวเองก็หยิบพลาสเตอร์มาแปะ แล้วบอกว่าพ่อบอกว่าทำแบบนี้แล้วที่เจ็บๆจะหาย พี่ชายอย่าร้องไห้เลย กริมนีลพอได้ยินแบบนี้ก็โอโม่ยขึ้นมาได้ ว่าตัวเองก็เรียนรู้มาจากคิชิแล้วว่าเทพนั้นไม่ใช่ต้องคอยปกป้องชี้น้ำมนุษย์ มนุษย์ก็ไม่ใช่ต้องอธิฐานต่อเทพ แต่การที่ทั้งสองจับมือแล้วเดินไปพร้อมกันนั้นก็เป็นอีกความเป็นไปได้เช่นกัน กริมนีลก็กลับมามีความมั่นใจแล้วร่วมมือกับเราคอยจัดการที่เหลือ พวกเราตามมาเจออีกแจนกับอีกสองคนที่กำลังลังเลใจระหว่างที่สู้กับพวกไวส์อยู่ แต่จากคำพูดของกริมนีล ทำให้สองคนกลับมาแน่วแน่ (ตรงนี้ทั้งสามคนชุดก็กลับไปเป็นของมิสทัลเซีย) พร้อมกับขอให้เราร่วมสู้กันไปด้วย


ลูซิปะทะกับอิโะอย่างสูสี อิโดะถามลูซิว่าทำไมถึงปฏิเสธความกลัว และตนก็เคยต้องการทำลายล้างโลกไม่ใช่หรอ ลูซิบอกว่าความเจ็บปวดนั้นมันอธิบายให้อิโดะเข้าใจไม่ได้หรอก ถึงแม้ตนจะเคยแค้นชะตากรรมมาก่อน เคยสาบานจะล้างแค้นเทพมาก่อน หรือแม้แต่ช่วงชิงชีวิตของสหายมาก่อน แต่ปลายทางของความเจ็บปวดนั้นไม่ใช่ความสิ้นหวังอย่างที่มันบอก แต่เป็นอนาคตที่เปี่ยมแสงสว่างจากผู้คนที่คอยนำพาสู่อนาคต ลูซิกล่าวอีกว่าเพราะงั้นอิโดะที่มีแต่ความเจ็บปวดกับความกลัวนั้นก็ไม่มีทางเป็นอมตะ และท้ายสุดจะถึงจุดจบและสลายไป เช่นเดียวกับความเจ็บปวดของตน ที่คิชินั้นทำให้สลายไป

เมื่อพูดจบ เราก็เข้าไปฟาดใส่อิโดะ อิโดะก็ประหลาดใจที่เราเข้าฟาดอย่างไร้ความกลัว พอจะคุมความเจ็บปวดกลับคืนให้นั้น กริมนีลก็ใช้สายลมส่งพลังเวทให้ความเจ็บปวดนั้นหายไป ตี้พวกเราที่ตั้งจิตแน่วแน่และไม่ลังเลแล้วก็เข้าปะทะกับอิโดะโดยไม่เกรงกรัวต่อความเจ็บปวด ด้วยความเชื่อมั่นในพวกพ้อง ท้ายสุดเราใช้ดาบของเราฟาดอิโดะสลายไป แต่แล้วความมืดที่ไหลออกมาจากร่างของอิโดะที่สลายก็มาปกคลุมเราจนเบื้องหน้านั้นดำสนิท


ในความมืดมิด เราได้ยินเสียงจิตใต้สำนึกของมิคาโดที่ต้องต่อสู้กับความกลัวและความเจ็บปวด และเรียกร้องความช่วยเหลือ แต่ถึงแม้จะรู้อยู่ว่าตะโกนอย่างไร เสียงก็ไม่สามารถส่งไปถึงปลายทางได้ เพราะชะตากรรมนั้นเป็นสิ่งโหดร้าย และเทพที่มอบชะตากรรมเหล่านี้ให้นั้นยิ่งโหดร้ายกว่านั้น ดังนั้นตัวเองจึงสาปแช่งเทพ พร้อมกับฆ่าหัวใจตนเอง เพื่อสร้างความเจ็บปวดออกมาอย่างไม่หยุด - เพื่อให้เธอผู้นั้น ครอบครัวที่ต้องปกป้อง ได้ห่างจากความกลัวและความเจ็บปวดไปแม้ซักเล็กน้อยก็ยังดี


เรากลับมามีสติขึ้นมาเจอกับกริมนีลลนลานที่เราหมดสติไป อิโดถูกปราบลงแล้ว ซึ่งสภาพรอบๆก็ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่โอเคเพราะยังเหลืออีกสองที่เหลือต้องจัดการอีก แต่รอบๆก็ยังมีมอนโผล่มาอยู่ พวกกริมนีลสามคนบอกให้เรารีบมุ่งหน้าไปต่อ พวกตนจะจัดการตรงนี้ให้เรียบร้อยเอง เรา แจน ลูซิเลยมุ่งหน้าไปสู่แอเรียต่อไป หลังจากพวกเราไปกันแล้ว โลกิก็แอบโผล่มาเงียบๆ เพื่อมาเก็บชิ้นส่วนของอิโดะที่ถูกทำลาย ถึงแม้แผนตนเองจะไปอย่างราบรื่น แต่ก็มาเก็บไว้เผื่อเป็นแผนสำรอง

# อากิฮาบาระ

หลังพวกเราออกจากอิเคะไป ตัดมาที่บนหอ มิคาโดได้รับความเสียหาย โดยบ่นว่าความเจ็บปวดที่เหมือนตัวตนโดนตัดผ่านั้น ไม่ว่ายังไงก็ไม่ชิน ตอนนั้นเองอาสึกะกับชิโอริก็รู้สึกตัวขึ้นมา มิคาโดบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง ตัวเองไม่มีแผนจะทำอะไรกับสองคนหรอก โลกิที่กลับมาพอดีก็บอกว่าแต่ก็จะปล่อยให้ไปไหนไม่ได้หรอกนะ เพราะยังมีค่าให้ใช้อยู่ มิคาโดบอกกับน้องสาวที่ถามเรา ว่าไม่ต้องห่วง ตอนนี้เรายังมีชีวิตดีอยู่ ก่อนจะรู้สึกเจ็บปวดจนน้องสาวเรารู้สึกเป็นห่วงแทน โลกิก็บอกว่าแบบนี้จะทนได้จนจบไหม ถ้าจะโดนทำลายไปก่อนจะลืมตาตื่นนี่ก็ไม่ใช่เรื่อง มิคาโดก็บอกว่ารู้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตนก็จะทำให้สำเร็จแม้ว่าจะต้องเสียอะไรไปก็ตาม

— ในห้วงความคิดของเด็กสาว

ตั้งแต่ครั้งแรกที่อาสึกะเจอมิคาโด ก็รู้สึกว่าชายคนนี้มีแววตาที่เศร้ามากอยู่ตลอดเวลา แต่พอบอกเรื่องนี้กับแจนแล้วแจนก็ทำหน้างงๆ ในดวงตานั้นเหมือนกับพยายามดื้นรนทรมาณกับอะไรซักอย่างอยู่ตลอด

ทั้งๆที่น่าจะเป็นคนน่ากลัวแท้ๆ

ทั้งๆที่น่าจะเป็นคนไม่ดีแท้ๆ

แต่ทำไมกัน ที่พอมองดูแล้ว ถึงรู้สึกคล้ายกับสมาชิกครอบครัวอันเป็นคนสำคัญ

แต่ก็อย่างที่คิดไว้ ว่าต่างกันอย่างสิ้นเชิง เหมือนมีอะไรซักอย่างที่ผิดแปลกไป

ซึ่งพอมองแล้วก็รู้สึกเหมือนความโสกเศร้านั้นมันถล่มทับอยู่ภายในอกของตน

พวกเราสามคนมาถึงอากิบะเพื่อจะกำจัดผู้รับใช้ฯต่อ แต่ว่าตัวเมืองนั้นก็เปลี่ยนไปจากเดิมเป็นคนละแบบ โดยตัวเมืองนั้นรวมกับเขตภูเขาไฟ เราที่กำลังมองหาผู้รับใช้ฯ ก็ได้ยินเสียงว่าช่างน่าสงสาร เมื่อมองไปข้างบนก็เจอผู้รับใช้ฯผู้ดูแลพันธนาการและการปลดปล่อย เกชทัลเซีย

พวกเราเริ่มสู้กับเกชทัลเซียได้ซักพัก แต่ก็มีคนที่หนีไม่ทันหลุดมา เกชทัลเซียใช้พลังให้คนปลดลิมิตการควบคุมตนเอง คนนั้นก็คุ้มคลั่ง พวกเราก็จะไปหยุด เกชทัลเซียเห็นพวกเราที่คอยหัวแข็งแบบนี้แล้วก็เริ่มรู้สึกเบื่อ แล้ววาร์ปหนีไป


ตัดไปที่ชั้นบนสุดของหอคอย อาสึกะกับชิโอริที่โดนขังอยู่ก็เป็นห่วงเราว่าจะเป็นอะไรไหม มิคาโดเลยบอกว่าเท่าที่ได้ยินรายงานมา ตอนนี้ก็ยังอยู่ดีแล้วก็ยังต่อสู้เพื่อปกป้องโลกอยู่ อาสึกะถามมิคาโดว่าเมื่อกี้บอกว่าปล่อยพวกตัวเองไปไม่ได้ แต่ถามอย่างหนึ่งได้ไหม มิคาโดก็บอกว่าถ้าเป็นเรื่องที่ตอบได้ก็จะตอบให้ อาสึกะเลยถามไปว่าจะได้เจอเราอีกไหม มิคาโดเงียบไปแป๊บนึงก่อนบอกว่าเรื่องนี้ตอบไม่ได้ อาสึกะเลยถามต่อว่างั้นก็หมายความว่า? แต่มิคาโดแทรกมาเบาๆว่าตัวเองไม่อยู่นี่น่าจะดีกว่า ก่อนจะเดินหายออกจากห้องไป น้องสองคนคุยกันแล้วจากนี้พวกตนจะเป็นยังไง แล้วก็คิดถึงและเป็นห่วงเรา กับคิดว่าไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้กับเรา การที่ตัวเองยังอยู่ที่นี่ซึ่งโลกิบอกว่าจะใช้ประโยชน์ทีหลังอาจสร้างความเดือดร้อนให้กับเราได้ และนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ในห้องนี้เหลือกันอยู่สองคน เลยเริ่มคิดหาทางหนีออกจากที่นี่ด้วยตนเอง ทั้งสองคนลงบันไดลงมาหลายชั้นแล้ว ระหว่างที่สองคนคุยกัน โลกิก็โผล่มาแทรกพร้อมกับบอกว่าอย่าเลยดีกว่า ทั้งสองคนพยายามจะหนีผ่านโลกิแต่ก็ไม่สำเร็จ โลกิถามทั้งสองว่ามนุษย์คนนั้นสำคัญขนาดนั้นเลยหรอ สองคนเลยบอกว่าแน่นอนอยู่แล้ว โลกิก็เลยบอกว่ายอมจริงๆในเรื่องนี้ ถึงแม้มันจะเป็นเพียงสิ่งลวงตาก็ตาม

สองคนชะงักแล้วถามโลกิว่าหมายความว่ายังไง โลกิเลยบอกว่าจำตอนที่ใช้พลังจัดการไวส์ไม่ได้หรอ เห็นพลังตัวเองแล้วไม่สงสัยในตัวตนตัวเองบ้างหรอ หรือว่าจริงๆแล้วแค่พยายามจะลืม แล้วก็ต่อว่าทั้งสองน่าจะรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าไม่มีทางเป็นครอบครัวเดียวกับเราได้ สองคนพยายามจะตอบโต้แต่ก็โต้ไม่ได้ โลกิเลยต่ออีกว่า ถ้างั้นจำได้ไหมละ อย่างเรื่องพ่อแม่หรือเรื่องตอนเด็ก เด็กสองคนพยายามจะตอบแต่ก็อึ้งที่ตัวเองไม่สามารถตอบได้ และสงสัยว่าทำไม โลกิก็เลยตอบให้ว่าเพราะทั้งคู่เป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับไวส์

โลกิบอกต่อว่าแต่น่าแปลกใจที่ทั้งสองคนไม่ต้องไปใช้ร่างใคร แต่มีตัวตนได้จากความต้องการที่แกร่งกล้า แต่ถึงต้นความต้องการนั้นจะเป็นอะไร หรือตัวตนทั้งคู่จะเป็นยังไง ตัวตนที่เป็นตัวเดียวกับคิชินั้นก็เป็นคนแท้ๆแน่นอน ไวส์กับมนุษย์คิดจะเป็นครอบครัวเดียวกันเนี่ยมันเป็นไปไม่ได้

แต่ยังไม่ทันจบประโยค มิคาโดก็เข้ามาขวางบอกให้โลกิหยุดแค่นั้นพอ โลกิก็แซวว่าโดนเจอจนได้ ก่อนถามว่ามีธุระอะไร เพราะทั้งสองคนนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเป้าหมายของมิคาโด แต่มิคาโดก็เมินโลกิแล้วเดินเข้าไปหาอาสึกะกับชิโอริ

มิคาโดลูบหัวทั้งสองคน ก่อนบอกว่าอย่าไปสนใจสิ่งที่โลกิพูด เพราะไม่ว่าจะพูดยังไงสายสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่มีการสั่นคลอนอยู่แล้ว ต่อให้เป็นของปลอมหรือของแปลกปลอมยังไง รอยยิ้มของเราที่ดูมีความสุขขนาดนั้น ดูยังไงก็ไม่น่าจะใส่ใจกับเรื่องพวกนี้หรอก ทั้งสองคนแอบแปลกใจเล็กน้อย ก่อนมิคาโดจะบอกว่า แต่เรื่องนี้ก็ไม่น่าใช่เรื่องที่ตัวเอง ที่แยกสองคนมาจากเราควรจะพูด แล้วก็ขอให้ลืมเรื่องนี้ไป

อาสึกะกับชิโอริขอบคุณมิคาโดซึ่งทำให้มิคาโดมองทั้งคู่แบบงงๆ ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนแยกทั้งคู่มาจากเรา แต่เด็กทั้งสองก็บอกว่านอกจากหนนี้แล้ว หนก่อนที่ช่วยไปตอนนั้นก็ยังไม่ได้ขอบคุณเลย แล้วทั้งคู่ร่างกายยังแข็งทื่อจากความไม่สบายใจ ก็ส่งมอบรอยยิ้มมาทางมิคาโด

มิคาโดมองแล้วเห็นภาพเด็กสาวคนนึงซ้อนขึ้นมา จนอาสึกะทักว่าเหมือนยืนเหม่อจนเหมือนว่าจะไม่สบายรึเปล่า มิคาโดเลยบอกว่าไม่เป็นไรแล้วให้ทั้งสองคนอยู่สงบๆไปก่อนตอนนี้ โลกิก็บอกว่าถึงยังไงก็ตาม ทั้งสองคนก็ไม่ได้เป็นครอบครัวกับเราอยู่ดี ซึ่งก็หมายความว่า จะไม่สามารถกลับไปเป็นองค์หญิงที่ถูกปกป้องอย่างเดียวเหมือนเช่นเคยได้แล้ว ทั้งคู่ที่เสียบทบนเวทีไปต้องตามหาบทของตัวเองใหม่เท่านั้น แล้วโลกิก็ทำให้ทั้งคู่หลับไปก่อนเพราะแบบนั้นจะสะดวกกว่า

— ในห้วงความคิดของเด็กสาว 2

ในความคิดของชิโอริ จริงๆแล้วตอนนี้รู้สึกกลัวจนอยากจะร้องไห้มาก ร่างกายตอนนี้สั่นคลอนไปหมด ถ้าหากอาสึกะไม่ได้อยู่ข้างๆละก็ป่านนี้คงร้องไห้ไปแล้ว

แต่ที่กลัวยิ่งกว่านั้นคือตัวตนของตัวเอง ว่าจะอยู่เคียงข้างกับคนที่รักได้งั้นหรือ การที่จะกลับไปอยู่เคียงข้างคนที่รักนั้นมันเป็นบาปงั้นหรือ

ถึงแม้จะไม่รู้อะไรก็ตาม แต่ก็รู้สึกกลัว และกลัวมาก

แต่ถึงเช่นนั้น พอคนคนนั้นมาบอกว่า “ความสัมพันธ์นั้นไม่สั่นคลอน” ร่างกายที่สั่นคลอนก็ค่อยดีขึ้นมาเล็กน้อย

ทั้งๆที่น่าจะเป็นคนน่ากลัวแท้ๆ ทั้งๆที่น่าจะเป็นคนไม่ดีแท้ๆ

แต่ถึงจะรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็กลับรู้สึกเศร้าโสกต่อตามมา

ถึงไม่รู้ว่ามันคืออะไร และไม่มีน้ำตาไหลออกมาก็ตาม แต่รู้สึกได้ว่าอะไรซักอย่างที่อยู่ในตัวตนนั้นกำลังร้องไห้อย่างไม่หยุดอยู่

พวกเราไล่ตามเกชทัลเซียมา เกชทัลเซียไม่เข้าใจที่พวกเราจะไปพันธนาการตัวเองกับการปกป้องผู้คนไปทำไม เราที่ไปช่วยคนที่ได้รับผลกระทบจากเกชทัลเซียก็พลาดท่าโดนโซ่มัดไว้ แต่ทันไดนั้นตัวโซ่ก็ถูกลุกไหม้และหลอมสลายไป ส่วนเราที่ถูกปลดปล่อยแล้วร่วงลงมาก็ถูกดูดหายไปจากรูที่ปรากฏมาบนพื้น ลูซิกับแจนเห็นก็เลยเดาว่าคงถูกใครซักคนช่วยไว้ แล้วก็ตัดสินใจจะต้านเกชทัลเซียไว้ก่อน เราตกลงมาที่โลกนรกจากฝีมือพวกเคลที่ช่วยเอาไว้ โดยที่นี่มีส่วนของมิสทัลเซียมากกว่า ทำให้ทั้งสามนั้นฟื้นพลังได้ไวกว่า เนื่องจากตัวเขตแดนนั้นพลังทลายไปแล้ว พวกเคลเห็นแล้วก็รู้สึกได้ว่าเรานั้นเป็นตัวตนเดียวกับคิชิ ของที่ใช้ช่วยเรานั้นเป็นไอเทมเวทมนต์ที่คารอนได้มาจากเอลเนสต้าตอนก่อนโน้นซึ่งใช้ได้แค่ครั้งเดียว

พวกเคลถามว่าทำไมเราถึงสู้ ถึงเราเป็นส่วนหนึ่งของคิชิ แต่ก็มีความจำเป็นอะไร เพราะตอนนี้ที่ฝั่งนรกเริ่มโดนผสมมาแล้ว หากไม่สนใจถึงความปลอดภัยของโลกแล้ว ถ้าฮาเดสรว่วมมือกับเหล่าเทพบนสวรรค์ ก็สามารถตัดผ่าโลกทั้งสองออกจากกันได้ แต่เราก็ตอบกลับว่าเรานั้นไม่อยากทิ้งโลกไหน อยากช่วยทั้งคู่เอาไว้ พวกเคลได้ยินแบบนั้นก็ไม่ค่อยแปลกใจแและบอกว่าสมเป็นคิชิ

พวกเคลเล่าต่อว่าพวกตนใช้ที่นี่เป็นที่หลบภัยให้กับพวกผู้คนกับไอดอลแฟน ซึ่งพอย้ายคนมาที่ปลอดภัยแล้วก็จะไปจัดการเกชทัลเซียต่อกันอยู่แล้ว แต่ทั้งสามนั้นอยากรู้ความรู้สึกของเราก่อน เมื่อไอดอลแฟนกับคนที่หลบภัยรู้ว่าพวกเราจะกลับขึ้นไป พวกนั้นก็ขอให้พาไปด้วย เพราะอยากช่วยและอยากปกป้องเมืองของตัวเองด้วยมือตนเอง แต่พวกเราปฏิเสธเพราะมันอันตรายมาก ก่อนที่เราจะไปยังประตูที่เชื่อมที่นี่กับโลกข้างบนไว้

ตัดขึ้นมาข้างบน ลูกับแจนสู้เกชทัลเซียไม่ได้ และเกชทัลเซียใช้พลังทำให้ไวส์สิงเข้าผู้คนให้อาละวาด ซึ่งทำให้เขตแดนนั้นพังทลายไวขึ้น และความอยากถูกปลดปล่อยของผู้คนนั้นก็มอบพลังให้กับเกชทัลเซีย พวกเคลบอกให้แจนกับลูนั้นไปนรกก่อนเพื่อฟื้นฟูพลัง แจนเล่าว่าเกชทัลเซียนั้นเล็งคนที่อ่อนแอก่อน ซึ่งลูซินั้นคอยกันแจนที่อ่อนแรงลงจนลง ซึ่งทั้งคู่หากอยู่ที่นี่ต่อก็ไม่พ้นตกเป็นเป้า ก่อนจะถอยไป

เกชทัลเซียดึงพลังจากผู้คนมาอีก เคลก็ปลดพลังเพิ่มและเข้าไป แต่ก็โดนคารอนเตือนว่าเข้าใกล้เกินไปให้ถอยลงมาหน่อย ซึ่งเกชทัลเซียใช้ช่องตรงนี้ พูดให้พวกเราสับสน ว่าการถูกผูกมัดจากคำพูดของพวกพ้องนั้นทำให้การเคลื่อนไหวทื่อลง เคลหลบการโจมตีนั้นได้อย่างฉิวเฉียด ออลโทรอสเตามเข้ามาเสริม แต่ก็โดนเกชทัลเซียพูดให้สับสน ว่าการที่ต้องคอยมาช่วยจากการผูกมัดของพวกพ้องที่อ่อนแอนั้นทำให้การเคลื่อนไหวแย่ลง

เกชทัลเซียโจมตีใส่คารอนกับออลโทรอส ซึ่งทำให้เคลโมโห เกชทัลเซียถามทำไมคนที่ต้องการการปลดปล่อยอย่างเคลถึงคิดแบบนั้น เคลเถียงว่าถึงจะยุ่งยากยังไง แต่การที่ตนทำงานตอนนี้ได้ เพราะมีพวกป้องที่สำคัญและคนที่ควรปกป้องอยู่ เกชทัลเซียก็เลยบอกว่าเช่นนั้นตนจะปลดปล่อยให้ และใช้วงเวทวาร์ปเรา ออลโทรอส คารอนไปที่อื่น แต่เรารู้ตัวทันพุ่งหลบออกมาสำเร็จ เคลรู้สึกได้ถึงทั้งสองคนว่ายังอยู่ที่ไหนซักที่ในเมืองนี้ และบอกให้เราไปจัดการพากลับมา ส่วนตัวเองนั้นจะต้านเกชทัลเซียไว้ก่อน

เราตามหาคารอนกับออลโทรอส แต่ด้วยเมืองที่เต็มไปด้วยพลังเวทของไวส์ทำให้เราตับหาทั้งคู่ไม่เจอ แต่โชคดีซาลารี่แมนที่เราช่วยไว้ตอนแรกบังเอิญมาเจอเราแล้วบอกว่าอีกจุดมีสับประหลาดไล่ตามเด็กผู้หญิงอยู่ แถมยังมีเสาไฟพุ่งขึ้นมาอีก ก่อนจะพาเราไป ซึ่งเมื่อไปถึงก็เจอออลโทรอสสู้กับไวส์จำนวนมหาศาล เราเลยเข้าไปสมทบ

เมื่อเราจัดการเรียบร้อย เรากับออลโทรอสชี้ให้ซาลารี่แมนไปหลบในตึก ก่อนที่ออลโทรอสจะใช้จมูกของตัวเองนำทางตามกลิ่นของคารอน ระหว่างที่จัดการไวส์กลางทาง ออลพลาดต้องให้เราช่วย จากที่กำลังสับสนอยู่จากคำพูดของเกชทัลเซีย ทำให้ออลไม่มั่นใจจนรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นภาระและคอยถ่วงเคลรึเปล่า แต่เราบอกว่าไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน และให้มองถึงข้อแข็งตัวเอง ทำให้ออลท์นึกถึงที่สมัยก่อนที่เคยสู้กับเคลด้วยชาริออต ที่เคลชมว่าสมเป็นออลท์ที่มุ่งตรงมาปะทะจากข้างหน้าตรงๆ ซึ่งทำให้ออลท์กลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง

อีกจุดนึงคารอนที่ปะทะกับฝูงไวส์และมอนก็เริ่มลำบากจากจำนวน แต่แล้วโอตะกับชายหนุ่ม(คนที่ขอตามมาด้วย) ก็โผล่มาแล้วล่อเป้าเบี่ยงเบนความสนใจพวกไวส์และมอนให้ โดยทั้งสองแอบตามผ่านเกทที่พวกเรามา เพราะอยากจะช่วยปกป้องเมืองนี้และปกป้องพวกคารอน ก่อนจะเตรียมวิ่งเพื่อถ่วงเวลาให้คารอน แต่เรากับออลท์ก็มาถึงพอดี เลยเข้ามาช่วยคารอนจัดการที่เหลือ หลังเราจัดการเสร็จแล้ว พวกไอดอลแฟนก็ฝากให้เราปกป้องทั้งคู่ด้วย ก่อนจะหลบไปในตึก คารอนเองก็พูดถึงว่าที่พลาดนั้นไม่ใช่เพราะออลโทรอสคนเดียว แต่เป็นเพราะตนด้วยที่ออกคำสั่งโดยไม่คิดถึงความรู้สึกของเคล และรู้สึกว่าเคลนั้นมีจุดเด่นมากที่เซนส์และการแอดลิบ และคิดว่าจริงๆแล้วหากตามเคลไปนั้นน่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า คารอนก็มองย้อนไปว่าเคลเติบขึ้นมามาก ก่อนที่พวกเราจะรีบกลับไปช่วยเคลที่ต้านเกชทัลเซียอยู่คนเดียว

เคลที่ปะทะกับเกชทัลเซียเริ่มอ่อนแรงลง เกชทัลเซียถามว่าทำไมถึงเลือกที่จะถูกผูกมัดทั้งๆที่คนที่จะปกป้องนั้นต่างอ่อนแอและผูกมัดตัวเองไว้ เคลตอบกลับว่าเพราะว่าพวกพ้องตนนั้นไม่ใช่อย่างที่เกชทัลเซียพูด ซึ่งพวกเราก็มาถึงพอดีและช่วยจัดการพวกคนที่โดนไวส์สิงรอบๆ เคลก็บอกอีกว่าที่ตัวเองพยายามได้เพราะว่ามีพวกพ้องอยู่ ซึ่งเรื่องง่ายๆเช่นนี้ไม่เข้าใจรึไง

ออลท์กับคารอนเสริมอีกว่าในผู้คนที่โดนทิ้งไปนั้น ก็มีผู้คนที่คอยให้ยืมพลัง ซึ่งคนเหล่านั้นนั้นสำหรับพวกตนแล้วไม่ใช่พันธนาการอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นพลังแห่งสายสัมพันธ์ ซึ่งการที่ทุกคนรวมพลังกันนั้น ทำให้พวกตนสามารถต่อสู้ได้ ก่อนที่พวกเราทั้งสี่จะเข้าปะทะและจัดการเกชทัลเซียลงได้

เกชทัลเซียที่กำลังจะพ่ายแพ้กำลังจะร่ายเวทเคลื่อนย้าย แต่พวกเคลก็ขัดขวางไว้ และจบที่เราใช้ดาบฟาดฟันต่อเนื่องก่อนตัดผ่า พร้อมกันกับที่ร่างเนื้อของมันสลายลง รอบๆก็มีหมอกคลุมมืดมิดท่วมออกมาจากร่างนั้น


ในหมอกมืดนั้น เราได้ยินเสียงจิตใต้สำนึกของมิคาโด ที่ถูกผูกมัดจากหน้าที่และความรับผิดชอบ และต้องการจะถูกปลดปล่อย แต่ถึงจะต้องการและมองไปยังโซ่ที่ผูกมัดไว้ ก็ไม่สามารถเป็นได้ ความสัมพันธ์นั้นคือโซ่ ซึ่งผูกเชื่อมกับความรักอันลึกล้น ด้วยเช่นนั้นจึงทิ้งไว้ซึ่งทุกอย่างของร่างกายที่ถูกเชื่อมด้วยโซ่นั้นไว้ เพื่ออย่างน้อยจะสามารถปกป้องตัวโซ่นั้นไว้ได้

— เพื่อจะไม่ปล่อยมือไปจากโซ่ที่เชื่อมต่อกับ”เธอผู้นั้น”ผู้ที่เป็นครอบครัวอันเป็นที่รักที่มิอาจหาใครแทนได้


สติของเรากลับคืนมา เราได้ยินเสียงเกชทัลเซียแว่วๆก่อนสลายหายไปจนหมดสิ้นว่าเสียดายที่ไม่สามารถอยู่ดูจนจบได้ว่าเรานั้นจะทำยังไงกับสิ่งนั้น พวกเคลเห็นเราเหม่อๆก็เลยเป็นห่วง แต่แล้วพวกไวส์ที่หลงเหลือก็โผล่มา แต่ลูซิกับแจนที่กลับขึ้นมาก็ช่วยจัดการให้พอดี จากนั้นพวกเคลก็จะทำการอพยพผู้คนที่นี่ไปที่ปลอดภัยก่อน ส่วนเรา แจน ลูซิก็มุ่งหน้าไปยังแอเรียสุดท้าย ตัดมาบนหอคอย มิคาโดที่โดนทำลายส่วนหนึ่งไปถึงสองก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด โลกิบอกว่าไม่ต้องห่วงออกไปขวางหรอก ยังไงมันก็ไม่มีผลขัดขวางการจุติของอิคลิปส์บาฮามุท แล้วก็ให้ดูแลตัวเองดีกว่า เพราะถึงมิคาโดออกไปจะช่วยเร่งให้ไวขึ้น แต่กับสิ่งที่ร่างกายต้องรับแล้วไม่ใช่ไอเดียที่ดีเท่าไหร่

อยู่ๆก็มีหมอกสีดำพุ่งออกมาจากร่างของมิคาโด สติของมิคาโดจมลึกไปในความมืดมิด มิคาโดได้ยินเสียงของไอริ - น้องสาวของตน ที่บอกว่าตนเองไม่ได้ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยการแย่งชิงชีวิตคนอื่นไป จิตของมิคาโดพึมพำขอโทษไอริ ว่าแต่ถึงอย่างนั้นตนก็อยากจะให้ไอริมีชีวิตอยู่ต่อ ถึงแม้จะต้องเป็นการเหยียบย่ำและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างไปก็ตาม

# ชินจุกุ

ชินจุกุกลายเป็นผืนน้ำแข็ง เรายังรู้สึกติดใจกับคำพูดที่เกชทัลทิ้งไว้ แต่ลูก็บอกว่าตอนนี้ไม่มีเวลาให้กำลังแล้ว เรามองไปข้างหน้า เห็นผู้คนล้มเหมือนถูกฝังอยู่บนพื้นหิมะ ผู้คนเหล่านั้นยังมีลมหายใจและไม่มีบาดแผลใดๆ ทันใดนั้นเราก็ได้ยินเสียงของผู้รับใช้ฯก่อนที่สติเราจะหมดไป

ตัดมาที่อากิบะ โลกิก็มาเก็บคอร์ของผู้รับใช้ฯเช่นเคย โลกิคิดว่าถึงแม้นี่จะเป็นผลที่พลังของคิชิค่อยๆกลับมาจนจะสมบูรณ์ แต่ด้วยสปีดเช่นนี้แล้วรู้สึกสถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และคิดอีกว่าถึงจะเก็บพวกนี้เป็นแผนสำรองก็ตาม แต่ก็รอดูอยู่ว่าชิ้นส่วนสุดท้ายนั้นจะสร้างอะไรน่าสนุกออกมาไหม

สติของเรากลับมาอีกทีก็พบว่าเราอยู่ระหว่างการซื้อของกับอาสึกะและชิโอริ เรารู้สึกเหมือนมีอะไรผิดแปลกไป แต่พอพยายามจะนึกขึ้นมาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา อาสึกะกับชิโอริก็บอกเราว่าคิดมากเกินไปก็ไม่ดี เพราะวันนี้ก็มีแต่เรื่องสนุกสนาน ที่นี่ไม่มีทั้งเรื่องโศกเศร้าหรือเรื่องทรมาณ และบอกให้เราอยู่ที่นี่กับพวกตนกันไปตลอด

แจนตกใจที่อยู่ๆเราก็หลับไป ลูซิบอกว่าตัวไม่ใช่หมดสติแต่เป็นตัววิญญาณนั้นถูกพลังที่แข็งกล้าขังไว้อยู่ ทั้งคู่เผชิญหน้ากับพาราโดซิส ผู้รับใช้ฯที่คุมฝันลวง พาราโดซิสทำให้ผู้คนที่เศร้าโศกกับโลกความเป็นจริงนั้นหลับไหล แหละมอบสวรรค์ให้ตามความต้องการของคนเหล่านั้น แจนปฏิเสธว่าการทิ้งความจริงนั้นไม่มีทางเป็นความสุขที่แท้จริงได้ และบอกให้ปลดปล่อยคนเหล่านี้

พาราโดซิสถามว่าถ้าคิดว่าการทำงั้นจะเป็นการช่วยแล้วทำไมแม้แต่อัศวินผู้กอบกู้ก็ยังหลับไหล ก่อนกล่าวต่อว่าเรานั้นก็สูญเสียไปแต่ไม่ได้เกิดจากการถูกแย่งชิง แต่จากการรู้ว่าสิ่งที่เป็นครอบครัวที่ต้องปกป้องนั้นไม่ใช่ของจริง และก็เป็นเรื่องที่ช่างโง่เขลา ที่มีตัวตนที่ต้องกำจัดอย่างไวส์นั้นอยู่ใกล้ตัว

แจนไม่เชื่อ แต่แล้วพาราโดซิสก็กล่าวต่อว่าถึงไม่รู้ว่าเกิดมายังไง แต่ที่แน่ๆก็เปลี่ยนความจริงที่ทั้งคู่มีพลังเช่นเดียวกับพวกตน ลูซิเข้ามาแทรกว่าที่อยากบอกมีแค่นั้นหรือ ก่อนจะใช้เวทขัดขวาง และส่งแจนเข้าไปในฝันเรา เพื่อให้พาเรากลับออกมา


แจนเข้ามาในฝันเราสำเร็จ และเจอกับเรา แต่ไวส์ก็โผล่มาขัดขวาง อาสึกะกับชิโอริบอกให้เราหนี แต่เรานั้นปล่อยไว้ไม่ได้ เมื่อเราปล่อยมือออกจากทั้งคู่ ความทรงจำเราก็กลับคืนมา และเราเข้าไปช่วยจัดการไวส์กับแจน

เมื่อจัดการเสร็จ รอบๆเรานั้นไม่ใช่ชิบุยะแต่เป็นอีกมิติหนึ่ง แจนบอกว่าที่นี่สมเป็น “ฝันลวง” ตามที่พาราโดซิสว่าไว้ ซึ่งพวกตนตอนนี้อยู่ในสถานะที่มีแค่สติที่ล่องลอยอยู่ แต่ที่นี่ต้องมีทางออกเชื่อมกลับไปสู่ความจริงที่ลูซิต่อไว้ให้ ซึ่งถ้าหากเป็นไปได้ก็อยากช่วยทุกคนออกมาด้วย แต่เวลานั้นไม่มีเลยต้องมุ่งหน้าไปต่อ

เรากับแจนเจอแสงสว่างแว่บขึ้นมา เมื่อมองรอบๆก็เห็นเป็นเมืองที่ไม่โดนกลืนกิน จึงรู้ว่ายังคงอยู่ในภาพลวงตาอยู่ ซึ่งก็ได้พบกับทีน่าที่โดนไวส์ล้อมอยู่ เราเข้าไปช่วยจัดการไวส์แล้วถามทีน่าว่าเกิดอะไรขึ้น ทีน่าบอกให้เราช่วยลูเซียสกับเอมิเลียที ทีน่าบอกว่าระหว่างที่พวกตนกำลังช่วยคนที่หนีไม่ทันจากที่อยู่ๆพลังเวทของมิสทัลเซียไหลมาและไวส์โผล่มา พาราโดซิสก็โผล่มาแล้วทำให้ผู้คนหลับ ซึ่งทีน่าที่พลาดลังเลขึ้นมาก็โดนไปด้วยเลยทำให้ลูเซียสกับเอมิเลียที่พยายามช่วยโดนลูกหลงไปด้วย

แจนบอกว่าเรื่องผู้คนที่หลับนั้น ถ้าไม่จัดการพาราโดซิส คนก็คงจะยังหลับเช่นนั้น และได้เป้าว่าจะรีบหาลูเซียสกับเอมิเลีย เพื่อจะกลับไปช่วยสมทบกับลูซิที่รับมืออยู่กับพาราโดซิส ซึ่งตัวตนที่ทำให้ลังเลนั้นก็คือแม่ในโลกจริงซึ่งปรากฏขึ้นมาต่อหน้ากับฝูงไวส์

จากกำลังใจพวกเราช่วย ทีน่าตัดขาดจากความฝันได้สำเร็จ ก่อนขอบคุณแม่ทั้งน้ำตา ซึ่งแม่ก็ขอบคุณกลับก่อนสลายไป เราไปหนุนทีน่าจนทีน่าหยุดร้องไห้ ทีน่าบอกว่าเราคล้ายกับคิชิ ซึ่งแจนก็อธิบายเรื่องให้ ซึ่งทีน่าก็รู้สึไม่แปลกใจเพราะจากบรรยากาศของเราก่อนหน้า รอบๆกลับมากลายเป็นต่างมิติและสามคนก็มุ่งหน้าไปหาลูเซียสกับเอมิเลียตามพลังเวทอ่อนๆที่ทีน่าจับได้

พวกเรามาจนเจอลูเซียสและเอมิเลียปะทะกับไวส์อยู่ ซึ่งในนั้นก็มีไวส์ตนหนึ่งที่พูดเป็นเสียงลูเซียส - ตัวตนในอุดมคติของลูเซียส ที่รู้สึกต้องรับผิดชอบจัดการทุกอย่างคนเดียว ที่ต้องการให้ทีน่าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ ลูเซียสได้ยินสิ่งที่ไวส์นั้นพูดแล้วก็เกิดความลังเล ทีน่าที่เห็นเช่นนั้นกับตัวตนในอุดมคติของลูเซียสแล้วก็ทนอยู่ไม่ได้และเข้าไปช่วยจัดการ แต่ก็พลาดท่า

เราเข้าไปใช้ดาบฟาดขวาง ลูเซียสกับเอมิเลียเห็นวิชาดาบนั้นก็จำได้ว่าเป็นของคิชิ ทีน่าเข้าไปทุบหน้าอกลูเซียสและต่อว่าว่าทำไมไม่ปฏิเสธสิ่งที่ภาพลวงนั้นพูด และไม่ยอมเข้าใจว่าสิ่งที่ตนต้องการคือต้องการอยู่ร่วมกันกับพี่ชาย ไม่ได้ต้องการให้ตนมีความสุขและลูเซียสต้องลำบาก พร้อมบอกต่อว่าที่ผ่านมาตัวเองก็มีความสุขดี และก็มีคิชิคอยสนับสนุนด้วย ลูเซียสได้ยินดังนั้นก็ตั้งมั่นและก้าวข้ามภาพลวงของของตนเองได้ และจัดการไวส์นั่นลงสำเร็จ ลูเซียสเมื่อรู้ว่าเราเป็นตัวตนเดียวกับคิชิแล้ว ก็รู้สึกอายที่พอมาอยู่ฝั่งนี้แล้วก็ยังได้เรามาช่วยหางานอีก เอมิเลียก็อายถึงเรื่องที่ตัวเองทำไป แต่พวกเราก็บอกว่าลูเซียสนั้นก็เรื่องนึงที่เอมิเลียทำไปนั้นไม่มีอะไรน่าอาย

พวกเราหลังรวมทีมครบแล้วก็กำลังจะมุ่งหน้าไปหาทางออกที่ลูซิเตรียมไว้ แต่แล้วอาสึกะกับชิโอริก็โผล่ขึ้นมาแล้วบอกว่าไม่ต้องไปที่ไหนหรอก ถึงออกข้างนอกไปก็จะเจอแต่ความจริงที่แสนเจ็บปวด และชวนให้ดำดิ่งลงสู่ความมืดไปด้วยกันกับตน แจนบอกว่าให้ระวังเพราะสองคนเป็นภาพลวงที่ถูกสร้างขึ้น แต่ทั้งคู่ก็บอกว่าก็ไม่ต่างกับในโลกจริงอยู่ดี แค่ในโลกนี้แค่ตัวเองจะไม่มีสลายไปตลอด อาสึกะกับชิโอริพยายามพูดกล่อม แต่ลูเซียสกับทีน่านั้นก้าวข้ามสำเร็จแล้ว จึงไม่มีผลอะไร สองคนเลยไปเล็งเอมิเลียกับเราแทน ซึ่งความมืดก็โผล่ขึ้นมาคลุมทั้งคู่ก่อนจะกลืนกินทั้งคู่เข้าไป

เรารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในเมืองกับเอมิเลีย อาสึกะกับชิโอริก็ตามมาสมทบโดยคราวนี้เราสี่คนเป็นครอบครัวกันกำลังจะไปซื้อของ แต่แล้วพวกเราก็ได้ยินเสียงคนกรีดร้อง ชายสวมฮู้ดถือดาบเดินเข้ามาหาเราแล้วฟันเรา แต่สิ่งที่ถูกตัดขาดกลับเป็นตัวมิติ ทำให้สภาพเมืองรอบๆสลายและกลับกลายเป็นอีกมิติ และเราถึงรู้ว่าอาสึกะกับชิโอรินี้เป็นตัวตนของพาราโดซิสควบคุมอีกที ชายสวมฮูดชี้ให้เรากับเอมิเลียวิ่งหนีไป และตัวเองก็เตรียมสู้ขวางทางให้ พาราโดซิสเห็นดาบแล้วก็บอกว่าเป็นดาบศักศิทธิ์ประเภทหนึ่ง แต่ตัวตนของชายสวมฮู้ดนั้นกำลังสั่นไหว เป็นเหมือนกับหมอกเช่นเดียวกับเงาลวงของมิตินี้ ก่อนที่จะเข้าปะทะกัน

เอมิเลียกำเราวิ่งหนีมาถึงจุดหนึ่ง เอมิเลียขอโทษที่ตัวเองอ่อนแอและเผลอคิดว่าอยากให้ความสุขนี้ดำเนินต่อไปตลอด จากหนก่อนที่ต้องการพ่อหรือหนนี้ที่ต้องการใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุข ตัวเองไม่ได้เหมาะเป็นหัวหน้ากองอัศวิน แม้แต่ตอนสู้จริงๆแล้วก็รู้สึกกลัว และคิดว่าถ้าเกิดเกิดเป็นเด็กสาวธรรมดาอยู่หลายหน และก็ขอโทษเราที่อ่อนแอ แต่เราบอกเอมิเลียว่าเอมิเลียก็คือเอมิเลีย จะอ่อนแอก็ไม่เป็นไร ซึ่งทำให้เอมิเลียยอมรับตนเองขึ้นมาได้

เรากับเอมิเลียวิ่งมาจนสมทบกับพวกแจนที่คลาดกัน แล้วอยู่ๆชายสวมฮู้ดก็ปรากฏมาตรงหน้า และใช้ดาบฟันผ่ามิติเกิดเป็นทางออก ซึ่งเมื่อพวกเรารู้สึกตัวอีกทีชายสวมฮู้ดก็ไม่อยู่แล้ว พวกเราก็ออกมาจากทางนั้นและกลับมาสู่โลกความเป็นจริง


เรากับแจนตื่นขึ้นมาก็เห็นกองหยดเลือดบนมหาศาลพื้นผิวหิมะ เมื่อมองตารอยเลือดไปก็เห็นชายผู้มีปีกสีดำทรุดอยู่กับพื้น ลูซิบอกว่าพาราโดซิสนั้นไปอีกทางที่จับพลังเวทได้ และบอกให้พวกเรารีบไป เราบอกว่าอย่างน้อยจะรักษาลูซิก่อน แต่ลูซิบอกว่าไม่ต้องห่วงตนเพราะแค่นี้ครู่เดียวก็หาย

เรากับแจนวิ่งมาจนเจอพวกทีน่าปะทะกับพาราโดซิสอยู่ ทีน่าบอกว่าทั้งเวททั้งดาบนั้นไม่สามารถทำอะไรมันได้ ตัดผ่านไปเหมือนไม่มีร่างเนื้อ พาราโดซิสบอกเราว่าช่างโง่เขลา ตัวมันนั้นอยู่ ณ ที่นี้ และด้วยที่เป็นผู้ควบคุมฝันลวง เป็นความฝันที่ผู้คนมองสิ่งนั้น ไม่มีร้างเนื้อ หากผู้คนยังต้องการความฝัน ตัวตนของมันก็จะยังอยู่ไปตลอด

เทวดาตกสวรรค์ที่ไร้ความฝันนั้นก็ไม่สามารถสัมผัสตนได้ แต่ผู้คนที่มีความฝันนั้นก็ไม่สามารถต้านทานตนได้ การที่ต่อสู้กับตนนั้นก็ไม่ต่างกับการที่ต่อสู้กับความต้องการของผู้คน แต่พวกเรานั้นก็ไม่ย่อท้อ และบอกว่าจะก้าวข้ามและตัดผ่านความต้องการเหล่านั้นให้ดู ถึงแม้จะเป็นความฝันที่อบอุ่นแต่ก็ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงและการเติบโต

จากจิตที่ตั้งมั่นของพวกเราทำให้เราสามารถต่อกรกับพาราโดซิสได้ แต่แล้วพาราโดซิสก็สร้างเงาของอาสึกะกับชิโอริขึ้นมาขวาง ซึ่งทำให้เราชะงัก อาสึกะกับชิโอริพูดกล่อมเราให้เลือกพวกตน ก่อนรวมตัวกลายเป็นไวส์ยักษ์ซึ่งเราไม่สามารถขยับกายต่อกรได้ ก่อนที่จิตของเราจะตกลงไปสู่ความมืดมิดอีกครั้ง


ในความมืดมิด เราได้ยินเสียงจิตใต้สำนึกของมิคาโดอีกครั้ง โดยพร่ำเพร้อถึงว่าจริงๆแล้วต้องการจะปกป้องไว้ก่อนที่จะสูญเสียไป และว่าตนทำอะไรพลาดตรงไหนไป ต้องทำยังไงถึงสามารถผ่านพ้นไปได้โดยไม่สูญเสียไอริไป และก็เสียงที่ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้นำพาอดีตกลับคืนมาแม้จะต้องทำลายปัจจุบันตรงหน้าทิ้งให้หมด

แต่แล้วในความมืดก็มีแสงส่องออกมา เราได้ยินเสียงของพวกลูเซียสพูดถึงเรา และบอกว่าถึงแม้จะเป็นครอบครัวที่ปลอม แต่ความสัมพันธ์นั้นเป็นของจริง และขอให้เราเผชิญหน้ากับความจริง และเชื่อว่าเราจะสามารถเลือกกับอนาคตที่ถูกต้องได้และให้กลับมา

เราตัดสินใจได้และพยักหน้า แต่แล้วอาสึกะกับชิโอริก็ปรากฏมาข้างหน้า ทั้งคู่ถามว่าจะเผชิญหน้ากับความจริง ที่ทั้งสองคนเป็นสับประหลาดจริงๆหรอ เราชักดาบออกมา ทั้งคู่ก็ชะงักแล้วบอกว่าถ้าคิดว่าสามารถผ่าพวกตนได้ก็ให้ลองดู เราค่อยๆลดระยะห่างเข้าไปใกล้ๆ และฟาดดาบลงไป อาสึกะกับชิโอริหลับตากลัว แต่ทว่าเรานั้นกลับทิ้งดาบและเข้าไปกอดร่างของทั้งคู่ไว้

อาสึกะกับชิโอริสับสนและบอกว่าพวกตนเป็นแค่ภาพลวงตา ทำเช่นนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่คำพูดนั้นก็ไม่ทำให้เราปล่อยมือออกไป ทั้งคู่ก็เข้าและรู้สึกอิจฉากับตัวจริง และบอกให้เราอ่อนโยนกับตัวจริงของตนด้วยก่อนที่จะบอกลาเราและสลายเป็นแสงไป รอบๆเรานั้นก็หลุดเป็นมิติซึ่งพวกลูเซียสก็ยื่นมือมาช่วยเรา ซึ่งเราก็รับมือนั้นไว้และออกไปจากมิตินี้ โดยหันกลับไปบอกลากับภาพลวงตาของน้องสาวที่สลายไปเบาๆ

ช่วงที่พวกเอมิเลียเข้าไปช่วยเราออกมา แจนก็ปะทะกับพาราโดซิสอยู่คนเดียว แต่แล้วพาราโดซิสก็ค่อยๆสลายไปจากการที่เราตัดผ่านและก้าวข้ามความฝันนั้นออกมาได้ พวกเรากลับออกมาในโลกความจริง และลูซิเฟลก็ตามมาสมทบ พร้อมบอกว่าพลังกลืนกินในแอเรียรอบๆนี้นั้นได้หายไปหมดแล้ว พวกเราก็จะมุ่งหน้าไปสู่หอระฟ้าต่อ แต่ทั้งๆที่น่าจะจัดการหมดแล้ว กลับมีมอนและไวส์จำนวนมากโผล่มาอยู่ พวกเอมิเลียเลยอาสาจัดการตรงนี้และให้พวกเรามุ่งหน้าไปยังหอ

# ชิบุยะ

มิคาโดที่สติล่องลอยอยู่ในความมืดมิด ความทรงจำของมิคาโดกับน้องสาวก็ลอยขึ้นมา โดยไอรินั้นร่างกายไม่แข็งแรง ต้องคอยเข้าโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ ความทรงจำที่ซื้อของกับไอรินั้นพุ่งพรูขึ้นมา มิคาโดนั้นเพื่อให้ไอริมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ตนเองก็ได้ทำร้านผู้อื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนนับไม่ถ้วน แต่ก็ปิดบังไว้เพื่อไม่ให้ไอริเป็นห่วง

แต่ทว่าสิ่งที่ปิดบังไว้นั้น วันหนึ่งก็ความแตก ไอริช็อคและเสียใจที่ตัวเองทำให้มิคาโดต้องทรมาณ และตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลงเพื่อให้มิคาโดได้เป็นอิสระจากตนเอง มิคาโดที่กำลังสาปแช่งโลก ที่ไม่มีที่อยู่ให้อนาคตที่มีรอยยิ้มของไอริอยู่ ก็บังเอิญได้พบกับโลกิ โลกิแปลกกับพลังของมิคาโดที่สามารถปะทะกับตนได้ทั้งๆที่ไม่ได้มีแม้แต่พลังเวท โลกิกล่าวกับมิคาโดว่าต่อให้อาละวาดยังไงก็เปลี่ยนแปลงโชคชะตาที่สูญเสียครอบครัวไปไม่ได้ ซึ่งทำให้มิคาโดโมโหมากถึงแม้จะเข้าใจก็ตาม จากการปล่อยความโกรธพุ่งตามอารมณ์ต่อยใส่โลกิ โลกิเห็นแล้วก็ถึงมั่นใจว่าพลังนั้นเป็นพลังแห่งการกลืนกินของมังกรนั้น และเสนอว่าสนใจไหม หากจะบอกว่าพลังนั้นสามารถทำลายล้างโลกปัจจุบัน และสร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อให้น้องสาวที่เสียชีวิตไปกลับคืนมา เมื่อมิคาโดได้ยินเช่นนั้นก็จึงตกลงและยื่นมือหาโลกิ


โลกิไปเก็บชิ้นส่วนของผู้รับใช้ฯที่ชินจุกุเช่นเคย โลกิก็คิดว่าใกล้ถึงฟินาเล่แล้ว และคิดว่าต้องไปลองมอบบททดสอบให้เราว่าเราเหมาะสมไหม ในขณะเดียวกันพวกเรามุ่งหน้าสู่หอระฟ้า ซึ่งยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าพลังเวทจากมิสทัลเซียนั้นหนาขึ้นเรื่อยๆ เราก็คอยจัดการไวส์มาเรื่อยๆตลอดทางจนไปถึงหอระฟ้า

เมื่อมาถึงเราเจอโลกิขวางทางอยู่ เราบอกให้โลกิคืนทั้งคู่มา โลกิบอกว่าทั้งคู่นั้นอยู่ชั้นบนสุดของหอคอย ไม่ทันขาดคำเราก็รู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือน อิคลิปส์บาฮามุทใกล้จะเริ่มจุติแล้ว แจนถามว่าเป้าหมายของโลกิคืออะไร แต่โลกิก็ไม่ยอมตอบแล้วบอกว่าเราที่รับพลังคิชิมาจนจะสมบูรณ์แล้วต้องลองดูว่าจะผ่านการทดสอบ เหมาะสมกับบทไหม ก่อนจะเข้าปะทะกับพวกเรา โลกิบอกว่าเรานั้นสามารถทำได้ดีกว่าที่คาดคิดไว้อีก แจนจึงถามอีกรอบว่าทำไมถึงจะทำลายล้างโลก โลกิตอบกลับว่าอย่าเข้าใจผิด ตัวเองเคยบอกตอนไหนว่าจะทำลายล้างโลกนี้ โลกนี้มันมีชะตากรรมที่จะต้องสูญสลายตั้งแต่แรก ก่อนที่ตนจะขยับซะอีก แจนถามโลกิว่ามันหมายความว่ายังไง โลกิเลยอธิบายว่าไม่สังเกตเห็นหรอที่ไวส์พลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นมันเป็นแค่ลางบอกเหตที่ชิ้นส่วนของมังกรแห่งการกลืนกินนั้นเขยื้อนเข้าใกล้มาเท่านั้น มังกรนั้นมันจะโผล่มาในโลกนี้ตั้งแต่แรกซึ่งไม่ต้องทำอะไร โลกที่อ่อนแอใบนี้ก็จะสูญสลายแต่แรกอยู่แล้ว แจนเลยถามว่าถ้าเช่นนั้นเป้าหมายของโลกิคืออะไร โลกิเลยตอบว่าตนคิดว่าชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้นั้นมันน่าเบื่อ แต่สำหรับเขาคนนั้นแล้วอยากจะทำลายโลกนี้ทิ้งอย่างจริงจังอยู่ ลูซิเลยบอกว่าไม่ว่าจะทางไหนก็ต้องไปหยุดมิคาโดอยู่ดี และให้เปิดทางไปได้แล้ว

ทว่าโลกิกลับปฏิเสธและบอกว่าจากนี้ไปให้เรานั้นผ่านไปได้คนเดียว พร้อมกับเรียกผู้รับใช้ฯออกมาอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่มี”ความต้องการ”ลงไป แต่หากแค่เร่งการจุติของอิคลิปส์บาฮาละก็ไม่ใช่เรื่องยาก ซึ่งสุดท้ายก็ต้องยอมและแค่เราขึ้นไปคนเดียว


—— โลกิกับมิคาโด

โลกิอธิบายให้มิคาโดฟังว่า มังกรแห่งการกลืนกิน <<อิคลิปส์บาฮามุท>> นั้นกำเนิดและมีพลังเช่นเดียวกับมังกรที่ทำหน้าที่ทำลายล้างและสรรค์สร้าง หากอิคลิปส์บาฮาลืมตาตื่นอย่างสมบูรณ์ โลกใบนี้นั้นก็จะถูกสรรค์สร้างใหม่จากศูนย์ ซึ่งชะตากรรมนั้นก็จะถูกเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะทำให้สามารถเอาชะตากรรมที่น้อยสาวไม่ตายกลับมาได้ ซึ่งสิ่งที่จำเป็นคือต้องทำให้โลกใน “ตอนนี้” ละลายหายไปไม่หมดแม้แต่ซากก่อน

แต่ถึงบอกว่าจะหายไปนั้น ชีวิตทั้งหมดในโลกนี้ก็จะถูกสร้างใหม่เช่นเดียวกับโลกด้วย แต่เพราะว่าไปรวมกับมิสทัลเซียไป ก็จะมีบางส่วนที่แตกต่างออกไปบ้าง สิ่งที่สูญเสียไปนั้นก็มีเพียงแค่ความทรงจำและเวลาที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ กับสิ่งที่แสดงให้ว่า “เคยมีชิวิตอยู่” เท่านั้น ซึ่งสิ่งเหล่านั้นหากไม่ใช่คนดีงามถูกต้องนั้น เป็นเรื่องที่ถึงหายไปก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าติดใจอะไร

แต่การที่จะเรียกอิคลิปส์บาฮามานั้นก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่าตัวมิคาโดจะปลอดภัย เพราะมันกินความต้องการของคน หรือก็คือจากวิญญาณของคน ซึ่งหากใส่พลังให้มันต่อไปเรื่อยๆ “ตัวตนของมิคาโด” ก็อาจจะสลายหายไปโดยสมบูรณ์ก็ได้

ถึงแม้จะมีความเสี่ยงสูง แต่ก็สามารถนำพาโลกที่น้องสาวยังมีชีวิตกลับมาได้ แต่ตัวมิคาโดเองก็อาจจะไม่มีตัวตนอยู่ในโลกใบใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมา และโลกิก็บอกว่าท้ายสุดนั้นจะทำยังไงก็ขึ้นกับที่มิคาโดจะเลือกเอง

เราไต่หอขึ้นบันไดไป ซึ่งระหว่างทางก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เมื่อมองไปก็พบเป็นแสงสว่างเล็กๆที่เปราะบางดังจะสลายไปได้ทุกเมื่อ เมื่อเราขึ้นมาถึงชั้นบนสุดดังถูกชี้พาโดยแสงสว่างเล็กๆนั้น เบื้องหน้าเราก็เห็นร่างของเด็กสาวคนหนึ่ง

“ช่วยหยุดพี่ชายให้ที”

ร่างของเด็กสาวนั้นค่อยๆหายไป เบื้องหน้าของเรานั้นเป็นประตูใบใหญ่ เราก็เปิดประตูไปและได้พบกับมิคาโดอีกครั้ง มิคาโดกล่าวว่าก็ไม่ได้คิดเหมือนกันว่าจะต้องมากลายเป็นแบบนี้ตอนที่เจอกันครั้งแรก เราคุยกับมิคาโดเล็กน้อย โดยเราตั้งใจจะหยุดและช่วยมิคาโด ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าปะทะกัน

อาสึกะกับชิโอริตื่นขึ้นมาจากที่ทำให้หลับ ทั้งคู่ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังมาใกล้ๆ ทั้งคู่คาดว่าน่าจะเป็นเรามา จึงกังวลใจและรู้สึกต้องรีบไปหา ทันใดนั้นตัวเวทที่ขังทั้งคู่ไว้ก็ถูกคลายออก ทั้งคู่จึงรีบออกไปจากห้องนั้น โดยมีเสียงของเด็กสาวเบาๆตามหลังมาว่า “ให้ไปซะ เหล่าความหวังของตัวฉัน”

เรากับมิคาโดปะทะกันอย่างดุเดือด มิคาโดเพิ่มพลังเข้าไปอีกระดับและก็บอกว่าให้รีบๆจัดการให้จบเพราะตัวเองก็ไม่รู้จะคุมเป็นตัวเองอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ความนึกคิดของเราที่ส่งผ่านในดาบที่ปะทะกับมิคาโดก็ส่งถึงกัน แต่ทว่าเราก็ทรุดลง และถุกฟาดจนกระเด็นปลิวไป ทั้งสัมผัสทั้งห้าและสติค่อยๆเลือนหายไป มิคาโดกล่าวกำเราว่าไม่ต้องลุกมาแล้วขอให้หลับไปทั้งอย่างนั้น

สิ้นคำพูดนั้น เราก็ได้ยินเสียงเหมือนโลกนั้นถูกตัดผ่าน ซึ่งตอนนี้โลกทั้งสองนั้นกำลังค่อยๆท้อนซับ และการลืมตาตื่นของการกลืนกินก็กำลังจะใกล้มาถึง ก่อนที่มิคาโดจะโจมตีครั้งสุดท้ายเพื่อปลิดชีพเรา

“-- ในที่สุดก็ซ้อนทับกันจนได้”

ชายสวมฮู้ดปรากฏตัวมาพร้อมใช้ดาบฟาดมิคาโดจนถอยไป แล้วหันมาขอบคุณเราและคิชิที่คอยต่อสู้มาตลอดคนเดียวจนถึงตอนนี้ ซึ่งช่วงเวลานี้ที่โลกทั้งสองใกล้จะรวมเป็นหนึ่งนั้น เป็นช่วงเวลาที่ตนสามารถยืนอยู่ข้างหน้าเราในฐานะของตนเองได้

มิคาโดถามชายสวมฮู้ดว่าเป็น”อะไร”กันแน่ ชายสวมฮู้ดตอบว่าตัวตนของตนเองนั้นค่อนข้างพิเศษหน่อยจะสงสัยก็ไม่แปลก แต่ก็เพราะฉะนั้นก็ต้องตอบให้อย่างชัดเจน ก่อนเปิดฮู้ดออกมาพร้อมบอกว่าจนคือคิริเอะแห่งหมู่บ้านดีรัค

สิ้นคำพูดลง คิริเอะก็ตั้งท่าดาบเตรียมพร้อม และหันมาบอกเราว่าตนเองนั้นเป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับคิชิและเรา ซึ่งหากเข้าใกล้เราที่ยังอยู่ในสถานะไม่เสถียรนั้น ก็อาจจะกลับรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับเราได้ แต่ตอนนี้นั้นที่โลกนี้ซ้อนทับกับมิสทัลเซียเช่นนี้แล้ว ตนสามรถร่วมสู้กับเราได้ โดยหนนี้จะเป็นตาที่ตนเองช่วยเราบ้าง เช่นเดียวกับที่เราเคยช่วยตนไว้ก่อน

มิคาโดกล่าวว่าไม่สนว่าจะเป็นใครจากไหน หากจะขวางทางละก็จะกำจัดทิ้งเท่านั้นและเข้าโจมตีใส่คิริเอะ คิริเอะป้องกันไว้ได้แต่จากพลังที่เปี่ยมล้นแพร่กระจายออกมานั้นทำให้เหมือนตัวตนของคิริเอะสั่นคลอนเหมือนจะหายไป

“ไม่ยอมหรอก ดาบเล่มนี้ที่เขาฝากทิ้งไว้ให้นั้นเป็นคำสอนของเขาที่ทิ้งไว้ในตัวผม ซึ่งมอบพลังให้กับผม...!”

ดาบสีฟ้านั้นเปล่งแสงสีทองออกมา

คิริเอะกล่าวกับมิคาโดว่าตนนั้นก็รู้จักคนที่ถูกชะตากรรมให้คุ้มคลั่ง แต่แล้วท้ายสุดนั้นคนนั้นก็ได้ฝากความหวังไว้กับคิชิและกลับกลายเป็นแสงสว่าง แต่ตอนนั้นตนเองนั้นทำได้เพียงแค่รอได้รับการช่วยเหลืออย่างเดียว ไม่สามารถหยุดเขาไว้ได้ แต่สำหรับครั้งนี้แล้วจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่ให้สิ่งใดถูกช่วงชิงไปอีกครั้ง

ดาบของคิริเอะตัดผ่ามิคาโด ความมืดมิดนั้นค่อยๆจากหายลง ความสิ้นหวัง ความแค้นค่อยๆลดบางลง พร้อมกันนั้นแสงสว่างอันอบอุ่นก็ห่อหุ้มร่างกายเรา และเราก็รู้สึกได้ถึงพลังที่พุ่งกลับมา

คิริเอะที่กำลังค่อยๆกลายเป็นแสงสว่างหันมายิ้มให้เราแล้วบอกว่าน่าจะช่วยเป็นประโยชน์กับเราได้รึเปล่านะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ตัวเองแค่ใช้พลังของดาบไปจนหมด ที่เหลือก็แค่กลับคือสู่ที่เดิมเท่านั้น ก่อนจะพูดให้กำลังใจเรา และบอกเราอีกว่าไม่ต้องลังเลเพราะพวกเธอเหล่านั้นกำลังรอเราอยู่ เช่นเดียวกับที่คิชินั้นยอมรับตนที่เป็นชีวิตที่เป็นของปลอม ก่อนที่จะสลายหายไป ทิ้งไว้แค่ว่าสิ่งที่คาใจคงจะมีว่าไม่ได้ร่วมสู้กับเราจนจบและอาจจะคานอนโกรธได้


มิคาโดที่อ่อนแรงลงก็สั่งให้พลังของ”การกลืนกิน”นั้น กลืนกินตนเองเข้าไปอีก เราถามมิคาโดว่าทำไมถึงยังจะสู้ไม่ยอมแพ้อีก มิคาโดก็ตอบว่าเพียงเพื่อครอบครัวเท่านั้น จริงๆแล้วเป้าหมายของตัวเองกับเรานั้นเหมือนกัน เพียงแค่หนทางนั้นกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถนนทั้งสองนั้นไม่มีทางจะตัดผ่านกันได้ และเข้าปะทะกับเราอีกครั้ง พลังอันท่วมท้นของมิคาโดนั้นกดดันฝั่งเรา แต่ทว่าดาบของเรานั้นก็มีแสงสว่างที่ไม่แพ้ความมืดซึ่งมอบพลังให้กับเราอยู่

-- แสงสว่างที่มอบความกล้าที่ก้าวข้ามให้ทนทานความเจ็บปวดและความกลัว

-- แสงสว่างจากการร่วมเดินกับพวกพ้อง ที่ก้าวข้ามปลายทางของการพันธนาการของหน้าที่ ที่แม้อยากหนีก็ไม่สามารถหนีพ้นได้

-- แสงสว่างอันแกร่งกล้า ที่พาเดินไปข้างหน้าสู่อนาคต ไม่ว่าปลายทางของความเป็นจริงนั้นจะน่าเศร้ายังไง

แสงสว่างของดาบเรานั้นตัดผ่านความมืดมิด ความสิ้นหวังอันมืดลึกให้แตกสลายออกไป

มิคาโดที่พลังค่อยๆสูญไปนั้น ก็ให้การกลืนกินนั้นกินพลังตัวเองเพิ่มอีก ความมืดมิดนั้นออกมาห่อหุ้มมิคาโดและพลังนั้นค่อยๆขยายเพิ่มขึ้น แต่ทว่าร่างกายนั้นไม่สามารถทนทานได้ และเลือดไหลท่วมออกมา


—— เด็กผู้กอบกู้

คิริเอะรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเรียกจากชิน และรู้สึกว่าต้องไปไม่ว่ายังไง จึงมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ชายคนนั้นหลับไหลอยู่

คิริเอะรู้สึกไม่สบายใจ เหมือนคิชิกำลังตกอยู่ในอันตราย ซึ่งนี่คือสิ่งที่ชินต้องการจะบอกใช่ไหม คิชินั้นเป็นทั้งคนสำคัญของทั้งชินและตนเอง ถึงแม้ตัวเองไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้บ้าง แต่ตัวเองก็ถูกคนนั้นช่วยไว้เช่นกัน เพราะงั้นจะขอยืมพลังของชิน เพื่อคราวนี้พวกตนจะได้เป็นฝ่ายช่วยคนคนนั้น

ดาบของชินที่ปักอยู่บนหลุมศพส่องแสงขึ้น และชี้พาเปิดประตูไปสู่โลกที่คนคนนั้น ผู้เป็นสหายของเจ้าของดาบนั้นอยู่

คานอนวิ่งตามคิริเอะมาเพื่อจะไม่ยอมให้ไปคนเดียว แต่ก็ไม่ทัน

เราปะทะกับมิคาโด ร่างกายของมิคาโดและตัวตนของมิคาโดนั้นกำลังค่อยๆไปถึงลิมิต แต่เช่นนั้นแล้วเจ้าตัวก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ทันใดนั้น เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น

อาสึกะกับชิโอริบอกกับมิคาโดว่า ตัวเองเข้าใจความเศร้าโศก แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าทำร้ายครอบครัวที่สำคัญของตนไปมากกว่านี้เลย มิคาโดเห็นทั้งสองคนแล้วก็เห็นภาพไอริซ้อนขึ้นมาก ซึ่งจังหวะนั้นการเคลื่อนไหวก็หยุดลง ดาบของเราตัดผ่านมิคาโดจนล้มลง แต่เราก็รับร่างนั้นไว้

เราเดินไปหาอาสึกะกับชิโอริพร้อมบอกว่ากลับไปด้วยกันเถอะ ทั้งสองต่างลังเลว่าจะไม่เป็นไรหรอทั้งๆที่ตัวเองเป็นสับประหลาด แต่เราก็ไม่สนใจและเข้าสวมกอดทั้งคู่ อาสึกะกับชิโอริก็ร้องไห้และบอกว่าถึงแม้จะไม่ได้เป็นครอบครัวจริงๆ เป็นแค่สับประหลาดก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากจะอยู่ร่วมกับเราเป็นครอบครัวไปตลอด

ทว่า หอคอยกำลังเริ่มพังทลายลง แจนกับลูซิตามขึ้นมาเห็นและบอกให้เรารีบหนีออกไป พวกเราหนีออกมาจากวงเวทเคลื่อนที่ของลูซิ โดยเรานั้นแบกมิคาโดที่หมดสติออกมาด้วย เรามองข้างนอกก็เห็นไวส์จำนวนมมหาศาลกำลังเข้ารวมตัวกัน

# ศึกตัดสินครั้งสุดท้าย

อิคลิปส์บาฮามุทลงจุติลงมาบนผืนดิน เพียงแค่เสียงคำราม ทุกสิ่งอย่าง ตึกช่อง ผืนดิน ท้องฟ้า ต่างเหมือนถูกหลอมรวมและถูกดูดเข้าไปในร่างของมังกรนั้น ลูซิบอกว่าไม่มีเวลาแล้ว สิ่งนั้นจะดูดกลืนโลกทั้งสองจนหมดสิ้น และสร้างเป็นโลกใบใหม่ขึ้น

อาสึกะกับชิโอริสงสัยว่ามิคาโดจะต้องทำถึงขนาดนี้เพราะอยากจะพาโลกที่ครอบครัวยังมีชีวิตอยู่กลับมาเลยหรอ พวกตนนั้นไม่รู้แต่อย่างไรก็ตามพวกตนก็ไม่อยากหายไปทั้งแบบนี้ ซึ่งเราเอกก็บอกว่าจะหยุดความต้องการนั้น และเพื่อมิคาโดเองด้วย และเราก็ชักดาบออกมาเพื่อเผชิญหน้ากับอิคลิปส์บาฮามุท แจนบอกให้อาสึกะกับชิโอริรออยู่ที่นี่ และสัญญาว่าทุกคนจะกลับไปมีชีวิตรอดทุกคน เราก็ลูบหัวน้องสาวพร้อมกับให้สัญญาเช่นนั้น

พวกเรามุ่งหน้าเพื่อจะไปหยุดอิคลิปส์บาฮามุท แต่ระหว่างทางก็มีพวกไวส์ออกมาขวาง แต่แล้วพวกริมนีล เคล เอมิเลียก็ตามมาสมทบและช่วยจัดการพวกไวส์ และร่วมเข้าสู้กับอิคลิปส์บาฮามุทไปกับเรา ทว่าพวกเราก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้

เวลานั้นเอง โลกิก็ปรากฏตัวขึ้นมา พร้อมบอกว่าจะสู้กับสิ่งนั้นตรงๆนั้นเป็นการกระทำที่อันตรายเกินไป ก่อนปล่อยเครื่องมือเทพหยุดการเคลื่อนไหว โดยเป็นเครื่องมือที่สร้างมาจากชิ้นส่วนของอิคลิปส์บาฮาเองไปพันธนาการ อุปปกรณ์ที่เกิดจากการที่มิคาโดสร้างให้เกิดความหมาย และโดนพลังของคิชิชำระล้าง คารอนบอกว่าเครื่องมือเทพนั้นรู้สึกได้ถึงพลังที่มากเท่ากับมังกรแห่งการกลืนกิน

โอดีนยึดร่างแจนแล้วถามโลกิว่าเป้าหมายของโลกิคือเช่นนี้ โอดีนบอกว่าโลกิคิดว่าเป็นชะตากรรมที่น่าเบื่อใช่ไหมละ จนถึงกับเตรียมของที่ใช้จัดการการกลืนกินไว้ และชี้นำให้คิชินั้นลืมตาตื่นอย่างสมบูรณ์ในเวลาเดียวกัน โดยวางแผนไว้แต่แรกให้คิชินั้นจัดการสิ่งนั้นใช่หรือไม่ แต่โลกิเบ่งเบี่ยนตอบว่าไม่ว่าจะโลกที่จะสูญสลาย หรือชะตากรรมของชายหนุ่มที่ถูกการสิ้นหวังกลืนกินจนเรียกหา”การกลืนกิน”นั้นดูไปก็ไม่น่าสนุก เลยใช้ประโยชน์จากคิชิเฉยๆ

โลกิบอกให้เรารีบไปจัดการมันซะก่อนที่มันจะกลับมาในสภาพสมบูรณ์ แต่ทว่าอิคลิปส์บาฮาคำรามร้องแล้ว โซ่ที่ผูกมัดก็เริ่มมีรอยร้าว โอดีนเห็นเช่นนั้นก็กล่าวว่าโลกินั้นช่างอ่อนหัดมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว แต่หนนี้ตนจะยอมยืมพลังให้โดยเห็นแก่เหล่าผู้กล้าที่ต่อสู้เพื่อปกป้องโลก ปลายมือของแจนนั้นมีพลังเทพรวมขึ้นมา โอดีนฝากพลังตนไว้ทีแจน

กุงก์นีร์ปรากฏมาที่มือของแจน หรือให้ถูกคือกุงก์นีร์ที่ถูกปรับให้เข้ากับมนุษย์ หอกแห่งการช่วยเหลือ แจนใช้กุงก์นีร์แทงใส่อิคลิปส์บาฮามุท เกิดเป็นแสงสว่างสั่นสะเทือนกระจาย ทว่าอิคลิปส์บาฮามุทก็ยังไม่ถูกโค่นลง และโจมตีมาทางพวกเรา


ไกลออกไปไม่มากนัก อาสึกะกับชิโอริเห็นแสงที่แว้บขึ้นมาก็ตกใจ และคิดถึงว่าตัวเองมีสิ่งใดที่สามารถทำได้บ้าง ทันใดนั้นทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงของไอริ บอกให้ทั้งคู่มาทางนี้ โดยตนจะหาทางทำอะไรซักอย่างเอง อาสึกะกับชิโอริโผล่มาในมิติที่รอบๆเหมือนเป็นชิบุยะ แต่เวลานั้นถูกหยุดนิ่ง ซึ่งในนี้คือโลกแห่งความทรงจำของไอริ ไอริปรากฏตัวออกมาและอธิบายให้อาสึกะและชิโอริฟัง

อาสึกะกับชิโอรินั้นเป็นตัวตนที่กำเนิดมาจากความคำนึงของไอริที่ต้องการจะให้หยุดพี่ชาย ความลังเล ความทรมาณของทั้งสองนั้นก็ส่งผ่านไปถึงไอริ ถึงแม้พลังของทั้งคู่นั้นจะใกล้กับมังกรแห่งการกลืนกิน แต่จุดเริ่มต้นนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง โดยทั้งคู่ไม่ใช่ไวส์ แต่กำเนิดขึ้นมาจากพลังของของบาฮามุทที่ไหลมาสู้โลกใบนี้

พลังของบาฮามุทที่ไหลมานั้นลำลายตัวเขตแดน ทำให้เขตระหว่างความเป็นกับความตายนั้นไม่แน่นอน ซึ่งทำให้ตัวตนของไอรินั้นฟื้นคืนขึ้นมาแบบไม่เสถียร

ไอริเสียใจในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจไป ซึ่งเป็นการทำให้มิคาโดนั้นต้องเจ็บปวด จนทำให้มิคาโดเคียดแค้นโลกและชะตากรรม จนเกิดเป็นความต้องการจะสร้างโลกใหม่ที่ไอริยังมีชีวิตอยู่

จากความต้องการอันแรงกล้าของมิคาโดเรียกให้อิคลิปส์บาฮามุทเกิดขึ้นมา มากไปยิ่งกว่านั้นไอริเองก็เช่นกัน ความต้องการที่จะหยุดพี่ชาย เพื่อให้หยุดไม่ให้ช่วงชิงชีวิตไปเพื่อตนไปมากกว่านี้ ซึ่งความต้องการนั้นไปรวมกับพลังของบาฮามุทที่ไหลมา กำเนิดเป็นอาสึกะกับชิโอริ

โดยจากคำขอนั้น ทำให้ทั้งคู่กลายไปเป็นครอบครัว ของผู้ที่มีวิญญาณของผู้ช่วยให้รอดในต่างโลก ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะหยุดพี่ชาย

ไอริขอโทษอาสึกะกับชิโอริ ก่อนขอยืมพลังจากทั้งคู่เพื่อจะหยุดอิคลิปส์บาฮามุท ไอริเองก็ไม่ต้องการโลกที่พี่ชายตนหายไป เพราะงั้นทุกอย่างที่ให้ทั้งสองได้ ตัวเองจะยอมให้หมด

อาสึกะกับชิโอรินึกถึงคำของโลกิ ที่ว่าไม่สามารถกลับไปเป็นองค์หญิงที่รอรับการปกป้องอย่างเดียวได้ และตัดสินใจได้ว่าตัวเองก็ต้องการจะปกป้องและช่วยเหลือเราเช่นกัน

ไอริค่อยๆกลายเป็นแสงแล้วมอบพลังแห่งความหวังไว้ให้กับทั้งคู่และกำลังลังจะสลายไป แต่อาสึกะกับชิโอริหยุดไอริไว้ บอกว่าการที่พวกตนมีคนที่อยากปกป้อง ไอริเองนั้นก็มีเช่นกัน และเหมือนไอริจะเสียใจที่ให้กำเนิดพวกตนมา แต่พวกตนนั้นขอบคุณไอริ ที่ทำให้ได้พบเจอกับครอบครัวคนสำคัญ และทั้งคู่ก็ชวนให้ไอริมาด้วยกัน เพื่อปกป้องคนสำคัญของทั้งสามคน


แจนใช้พลังจากโอดีนป้องกันการโจมตีไว้ได้สำเร็จ แต่เพียงแค่ป้องกันอย่างเดียวก็เต็มกลืนแล้ว คนที่ยังคงเหลือยืนอยู่ได้นั้นมีเพียงเรากับอีกไม่กี่คนเท่านั้น พวกเราพยายามสู้กับอิคลิปส์บาฮา แต่ก็ล้มไม่ได้ อิคลิปส์บาฮาคำรามซึ่งทำให้พวกเราขยับตัวไม่ได้ ในขณะที่กำลังคับขัน อาสึกะกับชิโอริก็ปรากฏตัวออกมาช่วย โลกิเห็นพลังของทั้งคู่แล้วก็ประหลาดใจว่าพลังนั้นยิ่งกว่าคนละระดับกับตอนที่ตนดึงออกมา ทั้งสองคนบอกให้ทุกคนมีความหวังไว้


มิคาโดที่อยู่ในความมืดมิด และดำดิ่งลงสู่ความสิ้นหวัง โดยคิดว่าคงไม่มีใครดึงพากลับไปยังแสงสว่างได้แล้ว จนกระทั่งได้ยินเสียงปลุกของไอริ ไอริบอกว่าในที่สุดเสียงของตนก็ส่งถึง ต้องขอบคุณตัวเอกที่ช่วยเปิดใจให้

มิคาโดประหลาดใจที่ไอริอยู่เบื้องหน้า แต่ว่าเมื่อลองจะสัมผัส มือของตนก็ทะลุร่างของไอริไป ทั้งคู่ขอโทษต่อกัน ไอริบอกกับมิคาโดว่าพวกตนนั้นไม่มีความหวัง และทำย้อนใหม่ไม่ได้ แต่ถึงเช่นนั้นพวกตนก็มีห้วงคำนึงอยู่ ซึงความสิ้นหวังของมิคาโดนั้นตนก็เข้าใจอย่างดี ห้วงคำนึงนี้ มีแต่ผู้ที่ห่อหุ้มความสิ้นหวังอย่างพวกตนเท่านั้นที่จะสามารถทำได้ และชวนให้มิคาโดมากับตน


พวกเราร่วมมือกับอาสึกะและชิโอริปะทะหน้ากับอิคลิปส์บาฮามุท อาสึกะกับชิโอริคอยป้องกันการโจมตีของมังกรนั้นให้ส่วนเราค่อยฟาดฟัน แต่ว่าจะพลังของอิคลิปส์บาฮานั้น ได้เป่าพัดเราจนปลิวไป แต่พวกพ้องก็คอยช่วยจัดการช่วยเราไว้

อิคลิปส์บาฮาทำท่าเหมือนจะพ่นบีม อาสึกะกับชิโอริตั้งใจจะรับไว้ แต่ทันใดนั้นมิคาโดกับไอริก็ปรากฏมา แล้วบอกว่าทั้งสองคนนั้นมีที่ต้องกลับไป เพราะงั้นอย่าทำให้ตัวเอกต้องเศร้าใจ เพราะเป็นครอบครัวไม่ใช่หรอ

มิคาโดกล่าวกับอิคลิปส์บาฮาว่าให้กลับมาอยู่กับความมืดที่เป็นที่กลับของตน อย่าไปทำอะไรแสงสว่างของเด็กเหล่านั้น ก่อนมารับบีมของอิคลิปส์บาฮาที่ยิงมาจนสลายไป พวกเราใช้จังหวะนั้นสวนกลับ โลกิใช้อุปกรณ์เทพผูกมัดไว้ และดาบของเรา แจน กับลูซิก็ตัดผ่าส่วนหัวใจของมังกรนั้นลง

เสียงคำรามก้องกังวาลไปทั่ว ร่างยักษ์นั้นตกลงสู่ผืนดิน และค่อยๆสลายกลับกลายเป็นแสงสว่าง อิคลิปส์บาฮามุทนั้นสลายไป ลูซิบอกว่าเช่นนั้นการที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่สิ่งที่ควรจะเป็นก็เป็นเพียงแค่เรื่องของเวลา แจนมองหาโลกิไม่เจอ แต่แล้วร่างของแต่ละคนก็ค่อยๆกลายเป็นแสงไป เพื่อกลับคืนสู่สถานที่ที่ควรกลับคืน - มิสทัลเซีย แต่ทว่าสำหรับคนที่ไม่ได้มีตำแหน่งพิเศษอะไรแบบโอดีน ความทรงจำที่เกิดขึ้นในครั้งนี้คงจะโดนรีเซ็ต เช่นเดียวกับตอนที่แต่ละคนมาถึงโลกใบนี้

แต่ละคนกล่าวลากับเราก่อนค่อยๆหายกลับมิสทัลเซียไป เหลือเพียงเรา แจน ลูซิ อาสึกะและชิโอริ แจนชวนพวกเราเดินในโลกใบนี้ก่อนที่พวกตนจะถึงเวลาต้องไปด้วยอีกหนนึง


ในโลกที่กำลังค่อยๆถูกซ่อมแซม พวกเรานั้นเดินอยู่ในชิบุยะ แจนเสียดายที่จะไม่ได้เห็นโลกที่สว่างไสวนั้นอีกหน แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่ได้เจอก่อน อาสึกะกับชิโอริเข้ากอดแจนก่อนที่แจนและลูซิจะหายไป อาสึกะกับชิโอริเองก็บอกกับเราว่าตัวเองนั้นด้วยความที่เป็นของปลอม ตอนนี้ที่อิคลิปส์บาฮาหมายไปแล้ว ทั้งคู่จะเป็นยังไงต่อไปก็ไม่รู้เช่นกัน ถึงแม้ตนจะหายไป แต่ทุกอย่างนั้นก็ไม่ได้หายไปหมด อย่างน้อยขอให้เราจำได้ว่าพวกเธอเคยอยู่ที่นี่ เคยเป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าหากเช่นนั้นแล้วก็พอทำใจได้ว่าพวกตนนั้นมีความหมายและสนับสนุนเราได้ เราก็เข้ากอดทั้งคู่แล้วบอกว่าจะไม่ยอมปล่อยไปอีก ไว้อยู่ด้วยกันสามคนอีก

อาสึกะกับชิโอริก็บอกว่าตนเองก็ไม่อยากหายไปทั้งอย่างนี้เช่นกัน การที่จะไม่ได้เจอเราอีกนั้นยิ่งแย่เข้าไปอีก

“ไว้ทานอาหารอร่อยๆสามคนกันอีก ฉันจะพยายาม พยายามเพื่อทำของอร่อยๆให้พี่”

“ยังมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่อีกเยอะแยะอยู่ ทั้งเรื่องอนิเม หรือพวกเกม เพราะฉะนั้น... !”

“ไว้อยู่ด้วยกั...” “ไว้อยู่ด้วยกั...”

ยังไม่ทันจบคำ เบื้องหน้าทั้งหมดก็ดำมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรหรือไม่รู้สึกสิ่งใด

เพียงแค่เก็บคำสัญญาและห้วงคำนึงไว้ในอก และเชื่อว่าปารฏิหารย์นั้น จะเกิดขึ้น


บรินดี้ตามมาเจอโลกิที่บาดเจ็บ โลกิทำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยหลังโดนเจอตัว โลกิบอกบรินดี้ว่าตัวเองไปเจอกับครอบครัวจอมปัญหา แต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็ไม่ได้เกลียดซะทีเดียวที่มอบความบันเทิงให้ และท้ายสุดแล้วจะต้องขอเอาคืนด้วย”ปาร์ฏิหารย์”อย่างสาสม ที่มาทำให้เวทีของตนป่นปี้ ก่อนจะแยกตัวออกไปเพื่อทำอะไรบางอย่าง

# บทส่งท้าย

คิชิเดินทางมาเพื่อปราบมอนที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งตามข่าวลือที่ได้ยิน ณ ที่แห่งนั้นเขาได้พบกับเด็กสาวคนหนึ่งที่ปะทะกับฝูงมอนส์เตอร์อยู่ -- แจนนู ดาล์ค

ดาบของคิชิที่ฟาดนั้นสร้างความประหลาดให้กับเด็กสาวมาก ว่าเหมือนเคยเจอกันมาก่อน เพราะท่าดาบนั้นหากได้เห็นซักครั้งแล้วละก็ไม่อาจจะลืมได้

เราสองคนปราบมอนทิ้งอย่างรวดเร็ว แจนประหลาดใจว่าทั้งๆที่เคยเจอกันครั้งแรก แต่กลับสามารถต่อคอมโบกันได้อย่างกับเคยต่อสู้ร่วมกันมาก่อน แจนที่มองเด็กสองคนที่ช่วย เห็นแล้วก็บอกว่าเห็นครอบแล้วคิดถึงคนพวกนั้น แต่ก็สงสัยขึ้นมาว่าคนพวกนั้นคือใคร

แต่ทันใดนั้นอยู่ๆความทรงจำก็กลับคืนมา แจนก็คิดถึงว่าคนเหล่านั้นจะกลับมาได้เจอกันอีกไหม


จากความมืดมิด เราค่อยๆรู้สึกถึงแสงสว่าง สติที่จมดิ่งในความมืดมิดค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา

เมื่อลืมตาขึ้น เบื้องหน้านั้นเป็นภาพวิวที่คุ้นเคย เป็นห้องของตนเอง

ทั้งๆที่เป็นสถานที่ที่ควรอุ่นใจแท้ๆ แต่ทำไม ทำไมถึงรู้สึกถึงความเปลี่ยวปล่าวที่พุ่งเข้ามาข้างใน

เรามองไปรอบๆก็พบเพียงมีเราแค่คนเดียว แต่ก็ไม่ทราบว่าสิ่งที่มองหานั้นคืออะไร เมื่อคิดว่าจะไปล้างหน้าเพื่อให้สมองโล่งขึ้นแล้ว อยู่ๆประตูของห้องก็เปิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว

อาสึกะกับชิโอริเดินเข้ามาเพื่อจะมาปลุก เพราะวันนี้มีสัญญากันว่าจะไปซื้อของ แต่เหมือนจะไม่จำเป็นแล้วทั้งคู่ดีใจที่เราจำสัญญาได้ ชิโอริรีบเร่งให้ไปเพราะกลัว”ของใหม่”จะหมด แต่อาสึกะเบรคว่าต้องกินข้าวเช้าก่อน

เมื่อรู้สึกตัว น้ำตานั้นก็ไหลรินออกมา ถึงแม้จะไม่ทราบในเหตุผลที่น้ำตาไหลออกมาก็ตาม

แต่ถึงเช่นนั้นแล้ว มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเศร้าโศก แต่เป็นของที่ทำให้รู้สึกอ่อนโยน

“เป็นอะไรรึเปล่า หรือว่าเห็นฝันร้ายมาหรอ?”

“ไม่ต้องห่วงนะ ยังไงพวกเราอยู่ที่นี่ ไม่ได้เป็นความฝัน แต่เป็นความจริงนะ ดูสิ”

น้องสาวทั้งสองยื่นมาจับมือเรา

ความอบอุ่นที่สัมผัสจากผิวหนังของมนุษย์

ที่อยู่ตรงนั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดา

ที่อยู่ตรงนั้นทำให้รู้สึกเหมือนดั่งปาร์ฏิหารย์

ครอบครัวที่สำคัญ สถานที่ที่ให้กลับไปของตนนั้น อยู่ที่นี่ และช่วยอยู่ให้ ณ ตรงนี้


พวกเราเดินไปซื้อของกับน้องสาว เพียงแค่ไปด้วยกันนั้นทั้งคู่กับรู้สึกสนุกกว่าปกติโดยที่ไม่รู้ว่าทำไม อาสึกะก็รู้สึกเหมือนลืมอะไรไปบางอย่าง ระหว่างที่คิดอยู่นั้นก็เดินไปชนชายคนหนึ่งเข้า

“ไม่จำเป็นต้องจำมันให้ได้หรอก เวทีนั้นได้ปิดฉากลงเรียบร้อยแล้ว”

“โลกทั้งสองนั้นได้เชื่อมต่อกันครั้งหนึ่ง ชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้ได้ถูกพลิกผันไป ต้องขอบคุณพวกเธอที่ทำให้เป็นเวทีที่ยอดเยียม เป็นสุขนาฏกรรมที่ประหลาดและสนุกถูกใจมาก”

“เราเองก็ได้เวลาถอยกลับแล้ว อาฟเตอร์แคร์ก็จัดการให้เสร็จหมดแล้ว”

ชายผู้นั้นบ่นอีกเล็กน้อยว่าเหนื่อยกับงานวิ่งวนไปมาเบื้องหลังแล้วก่อนจะเดินจากไป อาสึกะกับชิโอริก็รู้สึกงงๆ แต่แล้วก็กลับไปโฟกัสที่เรื่องเกมใหม่ต่อและเดินต่อไป เรามองไปแล้วรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ทำให้น้องสาวถามว่าเราลืมอะไรไปรึเปล่า แต่ว่าน้องสาวก็บอกว่าถ้ามัวแต่มองคนอื่นแบบนั้นเดี๋ยวก็หลงกันอีก พวกตัวไม่อยากหลงกันอีกรอบแล้ว อาสึกะกับชิโอริบอกเช่นนั้นแล้วก็ยื่นมามาให้เราจับ พร้อมกันนั้นจากอีกด้านนึง ก็มีเสียงใส

“พี่ชายเร็วๆเข้า เพราะหนนี้ฉันจะเป็นคนเลือกเสื้อให้ละ”

“เพิ่งจะหายดีแท้ๆอย่าเพิ่งปุบปับมาก เดี๋ยวก็ไม่สบายอีกหรอ?”

“แค่หวัดเองไม่ใช่หรอ เป็นห่วงเกินไปแล้ว เอ้า ไปด้วยกันเถอะ พี่ชาย”

อาสึกะกับชิโอริได้ยินเสียงของสองคนนั้น ก็รู้สึกว่าสองคนนั้นสนิทกันมาก แล้วก็บอกให้พวกเราก็ไปกันเถอะ

“ไปด้วยกัน”

あなたを捧げる最後の願い - end

onee onii

# ผังตัวละคร

ตบจากอฟช

chara3